การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (AMM) จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมกัวลาลัมเปอร์ (KLCC) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เช้านี้ (25 ตุลาคม) โดย โมฮาหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนปีนี้ เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ ซึ่งช่วงต้นได้มีการกล่าวต้อนรับผู้ที่เพิ่งรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ของไทยและเวียดนาม
นอกจากนี้ยังมีการประกาศต้อนรับ ติมอร์-เลสเต เข้าสู่ครอบครัวอาเซียนอย่างเป็นทางการ โดยถือเป็นชาติสมาชิกลำดับที่ 11 โดยรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า การรับสมาชิกใหม่ได้เสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียนและขีดความสามารถในการเผชิญกับความท้าทายในอนาคตร่วมกัน
นอกจากชาติสมาชิกแล้ว ฮาซันระบุว่า อาเซียนยังขยายความร่วมมือกับภาคีภายนอกอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แอลจีเรียและอุรุกวัยได้เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในอีกไม่ช้า ฟินแลนด์ก็จะเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาด้วยเช่นกัน ทำให้จำนวนภาคีของสนธิสัญญานี้จะเพิ่มเป็น 58 ประเทศ ซึ่งตอกย้ำว่าอาเซียนได้รับความไว้วางใจในด้านสันติภาพ
“ในสายตาของประชาคมระหว่างประเทศ อาเซียนได้ยืนหยัดในฐานะประภาคารแห่งความเป็นกลาง และเป็นท่าเทียบเรือที่ปลอดภัย ท่ามกลางความปั่นป่วนทางภูมิรัฐศาสตร์” รัฐมนตรีต่างประเทศของมาเลเซียกล่าว
มาเลเซียยังกล่าวถึงความสำคัญของกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนกับภาคีภายนอกอย่างความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ท่ามกลางความไม่แน่นอนและการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก
สำหรับประเด็นความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างเพื่อนบ้านในอาเซียนนั้น ฮาซัน ระบุว่า ได้ก่อให้เกิดความกังวลภายในประชาคมอาเซียน ซึ่งตอกย้ำว่า สันติภาพมีความเปราะบาง อย่างไรก็ตาม อาเซียนมีความยินดีที่สองฝ่ายพยายามเจรจาเพื่อลดความตึงเครียด
ฮาซันยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความเป็นแกนกลางของอาเซียน ซึ่งเป็นเครื่องย้ำเตือนความใกล้ชิดที่สมาชิกอาเซียนมีต่อกัน ไม่เพียงแต่ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ แต่รวมถึงความใกล้ชิดทางวัฒนธรรม ซึ่งก่อให้เกิดความไว้วางใจในการอยู่ร่วมกัน
สำหรับประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจอย่างปัญหาความไม่สงบภายในเมียนมานั้น รัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า หากวิกฤตนี้ไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะก่อให้เกิดปัญหาภายในมากขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลกระทบไปยังประเทศสมาชิกอื่นๆ เช่น ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การหลั่งไหลของผู้ลี้ภัย และความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
เจ้าภาพยังกล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ว่าเป็นอีกประเด็นที่สร้างแรงกดดัน ซึ่งต้องอาศัยการมีส่วนร่วมที่เปิดกว้าง และความเป็นปึกแผ่นของอาเซียนในการร่วมแก้ปัญหา
โอกาสนี้ อาเซียนยังแสดงความยินดีต่อความพยายามในการยุติความรุนแรงในกาซาจากข้อตกลงหยุดยิงระยะแรกของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ โดยระบุว่า เป็นก้าวสำคัญและหวังว่าในท้ายที่สุดจะนำไปสู่การบรรลุผลซึ่งสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองของประชาชนชาวปาเลสไตน์ และการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ที่มีอำนาจอธิปไตยและเป็นอิสระ



