จริงอยู่ที่ความสนใจของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในเวลานี้จะตกอยู่กับการเบียดแย่งแชมป์กันระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล สองทีมนำที่ขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา (โดยที่เหล่าคนรักหงส์ก็หวังว่าการขับเคี่ยวจะเป็นไปอย่างสูสีจนจบฤดูกาล) แต่สุดสัปดาห์นี้ก็มีเกมใหญ่ที่สำหรับผมคิดว่าเป็นหนึ่งในเกมที่สำคัญนัดหนึ่ง
เกมดังกล่าวคือการพบกันระหว่างอาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งจะพบกันที่เอมิเรตส์ สเตเดียม รังของทีม ‘ปืนใหญ่’ ในคืนวันอาทิตย์นี้ครับ
การพบกันของคู่นี้ หากย้อนกลับไปในวันวานสัก 20 ปีที่แล้วถือเป็นเกมที่ใหญ่เกือบที่สุดของอังกฤษในแทบทุกฤดูกาล บ่อยครั้งที่ชวนให้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเป็น ‘อริ’ ที่รุนแรงไม่แตกต่างจากความไม่ลงรอยกันจากเกม ‘แดงเดือด’
หรือพูดให้ถูกกว่านั้นคืออาจจะเดือดมากกว่าด้วยซ้ำไปครับ
เพราะในเวลานั้น ยุคสมัยที่ ‘ปีศาจแดง’ เป็นใหญ่ในแผ่นดิน จู่ๆ พวกเขาก็มีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างอาร์เซนอลที่พลิกโฉมจาก ‘บอริง อาร์เซนอล’ กลายเป็นทีมที่เล่นได้อย่างตื่นเต้นเร้าใจ เป็นฟุตบอลสไตล์ใหม่ที่ไม่มีใครพบเจอมาก่อนในวงการฟุตบอลเมืองผู้ดี
นอกสนามเราได้เห็น อาร์เซน เวนเกอร์ ชายผู้ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ค้นพบคู่แข่งแห่งโชคชะตา ขณะที่ในสนามก็มีแม่ทัพนายกองอย่าง ปาทริก วิเอรา และรอย คีน ที่นำทัพห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ในยุคนั้นเราจึงได้เห็นเรื่องราวการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างทั้งสองทีม การพบกันที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากยอมก้มหัวให้อีกฝ่าย ซึ่งนำไปสู่ประวัติศาสตร์มากมาย
21 ปีที่แล้ว (มีนาคม 1998) มาร์ค โอเวอร์มาร์ส หลุดไปยิงผ่าน ปีเตอร์ ชไมเคิล กลายเป็นประตูชัยให้อาร์เซนอลบุกมาพิชิตแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กันเนอร์สเร่งทำผลงานและแซงปีศาจแดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกภายใต้การคุมทีมของเวนเกอร์ (ด้วยคะแนนที่มากกว่าแค่ 1 แต้ม)
19 ปีที่แล้ว (มีนาคม 2001) ยูไนเต็ดที่มีแต้มนำห่างอยู่ถึง 13 คะแนน จับอาร์เซนอลมาเชือดคาโอลด์แทรฟฟอร์ดด้วยชัยชนะ 6-1 เป็นหนึ่งในเกมที่กันเนอร์สอับอายมากที่สุด
16 ปีที่แล้ว (กันยายน 2003) รุด ฟาน นิสเตลรอย ถูกรุมเยาะเย้ยถากถางด้วยความสะใจโดย มาร์ติน คีโอว์น, โลรอง เอตาเม และเรย์ พาเลอร์ หลังจากที่ดาวยิงชาวดัตช์สังหารจุดโทษพลาดในช่วงท้ายเกม ทำให้เกมจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 ซึ่งเหตุผลที่ 3 นักเตะปืนเดือดขนาดนั้นเพราะนิสเตลรอยมีส่วนทำให้วิเอราโดนใบแดงในจังหวะก่อนหน้านั้น ความดุเดือดในสนามที่เกิดขึ้นทำให้เกมนี้ถูกเรียกขานกันว่า Battle of Old Trafford
ในปีถัดมา (ตุลาคม 2004) หลังจากที่อาร์เซนอลสร้างตำนาน The Invincibles หรือทีมแชมป์ไร้พ่ายตลอดฤดูกาล และรักษาสถิติยาวนานต่อมารวม 49 นัด แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้จนได้ต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ด้วยสกอร์ 2-0 ซึ่งประตูแรกของเกมเกิดจากการพุ่งล้มเอาจุดโทษของ เวย์น รูนีย์
เกมนี้ยังมีเรื่องอื้อฉาวที่เรียกว่า ‘Pizzagate’ เมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถูกปาด้วยพิซซ่าในอุโมงค์สนามหลังเกมจบลง ซึ่งในเวลาต่อมาโจรได้รับสารภาพ โดยเป็น เซสก์ ฟาเบรกาส ที่ในเวลานั้นเป็นดาวรุ่งที่เพิ่งแจ้งเกิดไม่นานได้ยอมรับว่าเขาเป็นคนปาพิซซ่าชิ้นนั้นเอง
4 เดือนต่อมา พวกเขากลับมาพบกันอีกครั้งในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และมันยากที่กัปตันเลือดร้อนทั้งสองอย่างวิเอราและคีนจะสะกดกลั้นความรู้สึกได้ การปะทะกันในอุโมงค์สนามจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราก็แทบไม่เห็นเรื่องราวดุเดือดแบบนั้นอีกครับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาร์เซนอลค่อยๆ ตกต่ำลงหลังมีการปรับนโยบายหลายอย่างเพื่อให้สโมสรอยู่รอดในระหว่างการย้ายบ้านจากไฮบิวรีไปสู่สนามใหม่ที่ย่านแอชเบอร์ตัน โกรฟ ซึ่งในเวลาต่อมาก็ตั้งชื่อตามสปอนเซอร์ว่าเอมิเรตส์ สเตเดียม ในปัจจุบัน
ยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เซอร์ อเล็กซ์ ตัดสินใจวางมือ เกมนัดนี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะต่อให้เกมบางนัดจะร้อนแรง แต่ความรู้สึกนั้นแตกต่างจากวันวานอย่างมาก
อดีตผ่านไปคงยากจะหวนมาครับ ปัจจุบันเวนเกอร์เองก็อำลาทีมไปแล้วเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าการพบกันระหว่างอาร์เซนอลและยูไนเต็ดในเกมที่จะถึงนี้จะไม่มีความหมายอะไรนะครับ
ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นเกมที่น่าสนใจ เพราะมีเดิมพันด้วย ‘อนาคต’ ของทั้งสองทีมในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ โดยพวกเขามีใบเบิกทางที่ชื่อว่า ‘ท็อปโฟร์’ ที่ต้องช่วงชิงกัน
อย่างที่น่าจะพอทราบกันครับว่าสถานการณ์การช่วงชิงพื้นที่ 4 อันดับแรกในฤดูกาลนี้ค่อนข้างเข้มข้น ตัดอันดับ 1 และ 2 ที่จะเป็นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูลค่อนข้างแน่ สถานการณ์ ณ เข็มนาฬิกานี้ การลุ้นอันดับ 3 และ 4 ค่อนข้างเปิดกว้าง
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ อยู่ในอันดับที่ 3 มาสักพักก็จริง แต่เวลานี้พวกเขานำหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แค่เพียง 3 คะแนน โดยที่อาร์เซนอลก็ไล่หลังมาติดๆ ห่างจากปีศาจแดงเพียงแค่แต้มเดียว ส่วนเชลซีแม้จะอยู่อันดับที่ 6 แต่หากพวกเขาเก็บชัยชนะของเกมตกค้างได้ก็จะแซงขึ้นอันดับ 4 ได้ทันที
กับ 9 นัดที่เหลืออยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
การพบกันที่เอมิเรตส์ สเตเดียม ในคืนวันอาทิตย์นี้จึงเป็นเกมที่สามารถกำหนดทิศทางของการลุ้นชิงพื้นที่ท็อปโฟร์ได้เลยทีเดียว
อาร์เซนอลภายใต้ยุคของ อูไน เอเมรี หลังเริ่มต้นได้อย่างสวยงาม มีช่วงที่พวกเขาไม่แพ้ติดต่อกันถึง 22 นัด แต่หลังจากนั้นผลงานก็ 3 วันดี 4 วันไข้ เอาแน่เอานอนไม่ได้ และดูเปราะบางกว่าที่ควรจะเป็น
ล่าสุดพวกเขาแพ้แรนส์ในเกมยูโรปา ลีก 3-1 ทำให้เหล่า ‘กันเนอร์ส’ ที่ตามไปเชียร์ถึงฝรั่งเศสไม่พอใจและมีการประชดประชันว่า ‘เวนเกอร์จะไม่มีวันแพ้ในเกมแบบนี้’ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน อาร์เซนอลเกือบจะบุกไปเอาชนะสเปอร์สคู่ปรับตลอดกาลได้ถึงบ้าน หาก ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ไม่ยิงจุดโทษพลาดแบบไม่น่าเชื่อ
สถานการณ์ของอาร์เซนอลและเอเมรีช่างตรงข้ามกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่ล่าสุดสร้างปาฏิหาริย์พลิกสถานการณ์จากเป็นรองสุดกู่บุกไปเอาชนะปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้อย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าจะมาจากจุดโทษที่น่ากังขาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บก็ตาม
ยูไนเต็ดในยุคของ ‘โอเล่’ ที่เวลานี้ได้รับเสียงเชียร์จากทุกทิศให้กลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ตัวจริงของปีศาจแดง ยังไม่แพ้ในเกมพรีเมียร์ลีกเลยนับตั้งแต่ที่กุนซือชาวนอร์เวย์เข้ามารับงานในสัญญาคุมทีมชั่วคราว
12 นัดของโซลชาร์ในพรีเมียร์ลีก พวกเขาชนะถึง 10 เสมอแค่ 2 และทำให้ทีมแซงหน้าอาร์เซนอลขึ้นมาอยู่ในอันดับ 4 ได้
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะได้อะไรกลับไปจากเอมิเรตส์ง่ายๆ ครับ
สถิติเกมในบ้านของพวกเขายังถือว่าดีอยู่ เกมรุกที่มี อเล็กซองเดร ลากาแซตต์, โอบาเมยอง, เฮนริค มคิตาร์ยาน รวมถึงเมซุท เออซิล หากได้โอกาสลงสนามก็เป็นแนวรุกที่ไม่สามารถประมาทได้ และสิ่งที่น่าสนใจคือนักเตะเหล่านี้มักจะเร่งผลงานขึ้นในเกมที่รู้สึกว่าสำคัญ
และในฤดูกาลนี้ที่เหลืออยู่ เกมนี้ก็น่าจะสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา ดังนั้นผมเชื่อว่าสตาร์กันเนอร์สน่าจะพร้อมใจกันเล่นอย่างเต็มที่เพื่อผลงานของทีมและเพื่อตัวเอง
มากกว่านั้นคือการได้ชื่อว่าเป็นทีมแรกที่ยัดเยียดความปราชัยในลีกให้ทีมของโซลชาร์ ซึ่งก็เป็นรางวัลที่หอมหวานชวนให้อยากพยายามขึ้นอีกไม่มากก็น้อยครับ
สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องยอมรับว่าในระยะหลังทีมไม่ได้ถึงกับเล่นได้ดีนัก เพราะปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นมากมายส่งผลต่อทีมไม่น้อย แต่ในช่วงเวลาที่หนักหนาก็ยังมีความดีงามกับการที่พวกเขายังสามารถเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้ตลอด และมักจะมีฮีโร่สลับกันปรากฏตัวเสมอ
ในช่วงที่ผ่านมา ฮีโร่ของทีมคือ โรเมลู ลูกากู ที่ทำ 6 ประตูจาก 3 นัดหลังสุด โดยเฉพาะ 2 ประตูที่ช่วยให้ทีมพลิกเอาชนะเซาแธมป์ตัน และอีก 2 ประตูดับฝันเปแอสเชที่ปาร์กเดแพร็งส์มีผลต่อความมั่นใจของทีมมาก
เกมรับและสวนกลับจึงเป็นหัวใจสำคัญของยูไนเต็ดในเวลานี้ และจะเป็นกุญแจของเกมนี้ด้วยเช่นกัน
ผลการแข่งขันของเกมนี้ถูกมองว่ามีความสำคัญมากกว่าแค่แต้มไปกลับ 6 คะแนนสำหรับการลุ้นชิงท็อปโฟร์ เพราะในความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือการที่จะถูกใช้เป็น ‘ต้นทุน’ สำหรับการก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่
นอกจากความสำเร็จ ความรู้สึกที่ได้อยู่เหนือคู่ปรับนั้นก็เป็นต้นทุนชีวิตที่สำคัญอยู่เหมือนกันครับ
ในทางจิตวิทยาแล้ว การที่มีคู่แข่งขันยังช่วยทำให้ต่างต้องเร่งพัฒนาตนเอง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้อาร์เซนอลและยูไนเต็ดเคยแข่งกันประสบความสำเร็จมาแล้วมากมายในอดีต
วันนี้ความรู้สึกอาจเจือจางไปตามกาลเวลา และดูยากที่จะกลับมาห้ำหั่นกันเหมือนก่อน
แต่ใช่ว่า ‘เชื้อไฟ’ ในใจระหว่างทั้งสองสโมสรจะหมดไป
ขอแค่ประกายไฟนิดเดียว ความรู้สึกเก่าๆ น่าจะกลับมาไม่ยากครับ อาจจะกลับมาไม่ถาวร แต่อย่างน้อยก็ชวนให้คิดถึงวันเก่าๆ ได้บ้างเหมือนกัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลถัดจากการเยือนเอมิเรตส์แล้ว ยูไนเต็ดจะต้องเจอกับทีมในกลุ่มครึ่งบนของตารางมากถึง 6 จาก 8 นัด รวมถึงการเจอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซี
- ขณะที่อาร์เซนอลงานเบากว่า โดยจะเจอทีม 10 อันดับแรกแค่ 2 ทีม โดยทีมอันดับสูงที่สุดที่พวกเขาจะเจอคือวูล์ฟส เรียกว่าในช่วง Run-in พวกเขางานเบากว่าใครเพื่อน
- ทั้งอาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังมีโอกาสจะกลับไปแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลหน้าได้ผ่านช่องทางพิเศษคือการคว้าแชมป์สโมสรยุโรปให้ได้ ซึ่งกันเนอร์สถูกมองว่างานเบากว่าในรายการยูโรปา ลีก ขณะที่ยูไนเต็ดถึงจะล้มเปแอสเชได้ แต่การชนะแชมเปียนส์ลีกเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก
- การพบกันครั้งล่าสุดคือเกมเอฟเอคัพที่เอมิเรตส์ ผลปรากฏว่ายูไนเต็ดบุกมาชนะ 3-1 ส่วนการพบกันในลีกนัดแรกของฤดูกาลที่โอลด์แทรฟฟอร์ดจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2
- หลังความพ่ายแพ้ต่อยูไนเต็ด 6-1 เมื่อปี 2001 อาร์เซนอลต้องแพ้แบบสุดอัปยศอีกครั้งในอีก 10 ปีต่อมาด้วยสกอร์ 8-2 ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งเป็นผลการแข่งขันที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่แพ้เวสต์แฮม 7-0 เมื่อปี 1927
- ในเดือนกุมภาพันธ์ 1958 อาร์เซนอลเคยเฉือนเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมสุดเดือดที่ไฮบิวรีด้วยสกอร์ 5-4 เกมนัดนั้นเป็นนัดสุดท้ายที่ ‘บัสบี้ เบบส์’ ได้ลงสนามอย่างพร้อมหน้าก่อนจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่มิวนิก เมื่อเครื่องบินโดยสารเกิดอุบัติเหตุและทำให้ 8 ผู้เล่นของยูไนเต็ดวันนั้นเสียชีวิต และอีก 2 คนบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถกลับมาลงสนามได้อีก
- ระหว่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และอาร์เซน เวนเกอร์ พวกเขาไม่เคยยอมกันมาก่อน จนกระทั่งจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในเกมรอบรองชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 2009 ที่ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายชนะ วันนั้นเวนเกอร์เชิญเฟอร์กีมาที่ห้องแต่งตัวเพื่อแสดงความยินดี ทำให้เฟอร์กีสัมผัสได้ว่าเวนเกอร์สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญ และเขาก็สูญเสียคู่แข่งคนสำคัญไปด้วยในวันนั้นเอง
- ในฤดูกาล 2012-13 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเฟอร์กูสัน ไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาจะวางมือมาก่อน ยกเว้นเวนเกอร์ที่รู้ได้ในทันทีที่เขาถูกตามตื๊อให้ปล่อย โรบิน ฟาน เพอร์ซี ดาวยิงเบอร์หนึ่งให้มาอยู่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด แม้ว่าจะมีการโก่งราคาแล้วก็ตาม เพราะปกติวิสัยเฟอร์กีจะไม่ซื้อนักฟุตบอลที่แพงเกินราคา แต่การพยายามคว้าตัวฟาน เพอร์ซี ให้ได้ทำให้เวนเกอร์รู้ว่าเขาต้องการได้แชมป์ลีกในฤดูกาลนั้นเพื่อปิดฉากชีวิตการคุมทีมอย่างยิ่งใหญ่