×

‘Remontada’ การกลับมาแบบถูกเวลาของอาร์เซนอล

17.04.2025
  • LOADING...
นักเตะอาร์เซนอลฉลองชัยชนะเหนือเรอัลมาดริดที่สนามซานติอาโก เบอร์นาบิว หลังทวงคืนความหวังลุ้นแชมป์ยุโรปสมัยแรก

HIGHLIGHTS

5 MIN READ
  • ทีมที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์นามอุโฆษอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป, จูด เบลลิงแฮม, วินิซิอุส จูเนียร์, โรดริโก และ เฟเดริโก วัลเวร์เด ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงระบบการเล่นที่ยอดเยี่ยมประหนึ่งค่ายกลเจ็ดดาวเหนือที่เคยเกรียงไกร
  • ก่อนหน้านี้อาร์เซนอล และอาร์เตตาเผชิญกับเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ที่โตขึ้นเรื่อยๆ ว่าภายหลังจากช่วงระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมากับเงินลงทุนมหาศาลกว่า 700 ล้านปอนด์ แต่ทีมกลับไม่สามารถคว้าโทรฟีใดๆ ได้อีกเลยนับจากที่ได้แชมป์เอฟเอคัพเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
  • จากฟอร์มที่ปรากฏและทิศทางแล้ว ตอนนี้พอจะบอกได้เลยว่าอาร์เซนอลมีศักยภาพและโอกาสที่จะไปได้สุดทาง โดยเฉพาะในเวลานี้พวกเขาได้ ‘Feel Good Factor’ กลับมาเรียบร้อยแล้ว นักเตะ บอส และแฟนบอล ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง

‘Remontada’ คือคำที่ไม่ว่าจะเป็นนักเตะหรือแฟนบอลทีม ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด พูดถึงตลอดนับตั้งแต่พ่ายแพ้ต่ออาร์เซนอลแบบหมดรูปในการไปเยือนที่เอมิเรตส์สเตเดียมด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 3-0

 

คำคำนี้มีความหมายง่ายๆ ว่า ‘Come Back หรือกลับมา ซึ่งสื่อถึงความตั้งใจที่แชมป์ยุโรป 15 สมัยต้องการที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบให้ได้ในเกมการแข่งขันที่ซานติอาโกเบอร์นาบิว 

 

เพียงแต่ดูเหมือนทีมที่เหมาะสมกับคำว่า Remontada จริงๆ แล้วไม่ใช่เรอัล มาดริด

 

แต่เป็นอาร์เซนอล ที่ไม่เพียงแค่ย้ำแค้นบุกมาเอาชนะได้ด้วยฟอร์มการเล่นที่น่าประทับใจแล้ว มันยังเป็นบทพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ในฤดูกาลที่เต็มไปด้วยอุปสรรค โชคร้าย และเครื่องหมายคำถาม

 

ดูเหมือนทีมของ มิเกล อาร์เตตา จะทวงคืนฤดูกาลนี้กลับมาได้แล้วพร้อมกับความหวังครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

 

การเป็นแชมป์ยุโรปสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

 

 

จิตวิญญาณแห่งฮัวนิโต

 

90 นาทีที่เบอร์นาบิวมันยาวนาน

 

ประโยคนี้เป็นคำพูดของ ฮัวนิโต อดีตสตาร์ของทีมเรอัล มาดริด ที่เคยกล่าวเอาไว้ในช่วงก่อนเกมยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 1984/85 ซึ่งขุนพลชุดขาวพลาดท่าพ่ายให้แก่ทีมแกร่งอย่าง ‘ปีศาจแดงดำ’ เอซี มิลาน ที่ซาน ซิโร ด้วยสกอร์ 2-0

 

สถานการณ์ในเวลานั้นทำให้ทุกคนเชื่อว่าการที่มาดริดจะพลิกกลับมาเอาชนะเพื่อเข้ารอบต่อไปได้นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง

 

แต่คำพูดของฮัวนิโตได้ปลุกใจทีมอีกครั้งไม่เพียงแค่กับเพื่อนร่วมทีม ซึ่งยังมีสตาร์ดาวเด่นอย่าง เอมิเลียโน บูตราเกนโญ และ ฮอร์เก วัลดาโน แต่รวมถึงเหล่าสาวกมาดริดิสตาที่รวมใจกันสร้างบรรยากาศข่มขวัญมิลาน ผู้มาเยือน

 

สุดท้ายมาดริดพลิกกลับมาเอาชนะได้ 3-0 ได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จและไปคว้าแชมป์ในบั้นปลาย

 

คำพูดของฮัวนิโตจึงกลายเป็นวลีอมตะที่ไม่ว่าทีมชุดขาวจะพบกับช่วงเวลาและสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหน พวกเขาเชื่อว่าขอแค่ได้กลับมาเล่นในเบอร์นาบิวอีกครั้ง ทุกอย่างยังสามารถที่จะแก้ไขกลับมาได้เสมอ ซึ่งหลังเกมคลาสสิกในฤดูกาล 1984/85 ก็มีอีกหลายต่อหลายครั้งที่พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะคู่แข่งได้สำเร็จในเบอร์นาบิว

 

แม้ว่าตัวของฮัวนิโตจะจากไปจากอุบัติเหตุในปี 1992 แต่จิตวิญญาณนักสู้นั้นยังคงอยู่คู่กับสโมสรเสมอ และนั่นทำให้เรื่องราวของเขาถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง เพราะมาดริดหวังว่าจะแก้ไขความปราชัยที่น่าอับอายได้ โดยที่อะไรที่สโมสรทำได้ก็จะทำทุกอย่าง แม้กระทั่งการขออนุญาตปิดหลังคาสนามเพื่อสร้างบรรยากาศข่มขวัญคู่แข่ง

 

แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งนี้ เพราะฮัวนิโตหรือใครก็ตามก็ช่วยไม่ไหวแล้ว

 

นักเตะอาร์เซนอลฉลองชัยชนะเหนือเรอัลมาดริดที่สนามซานติอาโก เบอร์นาบิว หลังทวงคืนความหวังลุ้นแชมป์ยุโรปสมัยแรก

 

Super Dec ผู้อยู่ด้านตรงข้ามมาดริด

 

ตลอด 90 นาทีเศษที่เบอร์นาบิว เรอัล มาดริด ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเอาชนะอาร์เซนอลได้ พวกเขายังพ่ายแพ้ทั้งในเรื่องของสกอร์และในทุกๆ อย่าง

 

ทีมที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์นามอุโฆษอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป, จูด เบลลิงแฮม, วินิซิอุส จูเนียร์, โรดริโก และ เฟเดริโก วัลเวร์เด ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงระบบการเล่นที่ยอดเยี่ยมประหนึ่งค่ายกลเจ็ดดาวเหนือที่เคยเกรียงไกร

 

สิ่งที่พวกเขาทำมีเพียงแค่การพยายามครอสบอลเข้าในกรอบเขตโทษ การให้ปีกใช้ความเร็วเจาะทางฟูลแบ็กทั้งๆ ที่ไม่มีศูนย์หน้าตัวเป้าอาชีพอยู่ในทีม ที่ทำให้แม้แต่ ติโบต์ กูร์ตัวส์ ผู้รักษาประตูยังแอบบ่นหลังจบเกมว่า “โยนไปทำไมในเมื่อไม่มีโฮเซลู (อดีตศูนย์หน้าที่ย้ายออจากทีมไปแล้ว) อยู่ในทีม”

 

ในทางตรงกันข้ามอาร์เซนอลของ มิเกล อาร์เตตา กลับแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะในการเล่นที่ต้องปรบมือให้ เล่นด้วยความเยือกเย็น ไม่ผลีผลาม อดทน (แม้ว่า บูกาโย ซากา จะยิงจุดโทษแบบ Penanka พลาด…) และแน่นอนกลยุทธ์ในการปั่นประสาทคู่แข่งกลับมาใช้การได้อย่างดีในเกมนี้ในเรื่องของเกม Time-Wasting หรือการถ่วงเวลา ถ่วงแบบตอดนิดตอดหน่อย สะสมทรัพย์ไปเรื่อยๆ

 

และที่ได้รับเสียงปรบมือชื่นชมเป็นพิเศษอีกครั้งคือ ดีแคลน ไรซ์ มิดฟิลด์ห้องเครื่องคนสำคัญที่เกมนี้อาจจะไม่ได้ยิงฟรีคิกใส่สกอร์ให้ตัวเองเหมือนในเกมแรก แต่การเล่นของกองกลางทีมชาติอังกฤษมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาทรงให้กับอาร์เซนอล ไม่ว่าจะในเกมรับหรือเกมรุก

เรียกได้ว่าสองนัดที่พบกับมาดริดช่วยคลายแรงกดดันและคำถามจากแฟนกูนเนอร์ที่ชักไม่แน่ใจว่าอาร์เตตาใช้งานไรซ์ได้อย่างถูกต้องหรือไม่ หรือเก่งจริงหรือไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะพิสูจน์แล้วผ่านการเล่นที่ทุ่มเท วิ่งไม่มีหมด และขาวสะอาด

 

การเล่นของไรซ์ทำให้ผู้เล่นคนอื่นในทีมอาร์เซนอลทุ่มเทตามไปด้วย การเป็น Lead by Example หรือการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

 

ไรซ์ยังเป็นภาพสะท้อนของเบลลิงแฮม ที่นอกจากจะไม่มีประสิทธิภาพประสิทธิผลใดๆ ในเกมรุก ในเรื่องของเกมรับมีบางจังหวะที่เห็นได้ชัดว่าขี้เกียจไม่ยอมวิ่งไล่ แต่ให้ความเป็นธรรมกับ ‘โกลเดนบอย’​ ของทีมชาติอังกฤษ เพราะสตาร์คนอื่นๆ ของมาดริดก็เป็นเหมือนกัน

 

ขณะที่ทีมหนึ่งตั้งใจช่วยเหลือกันทั้งทีม อีกทีมเล่นแบบตัวใครตัวมัน เล่นกันแบบขอไปที

 

ทีมไหนสมควรชนะจึงชัดเจนอยู่แล้ว

 

 

การทวงคืนฤดูกาลนี้กลับมา

 

สิ่งที่น่าดีใจสำหรับแฟนกูนเนอร์คือชัยชนะเหนือเรอัล มาดริดสองนัดนี้ได้ช่วยปลุกบรรยากาศในทีมให้กลับมาดีอีกครั้ง และอาจจะบอกว่านี่เป็นบรรยากาศในทีมที่ดีที่สุดในรอบ 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมาเลยก็เป็นไปได้

 

เพราะก่อนหน้านี้อาร์เซนอลและอาร์เตตาเผชิญกับเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ที่โตขึ้นเรื่อยๆ ว่าภายหลังจากช่วงระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา กับเงินลงทุนมหาศาลกว่า 700 ล้านปอนด์แต่ทีมกลับไม่สามารถคว้าโทรฟีใดๆ ได้อีกเลยนับจากที่ได้แชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว

 

โดยเฉพาะในช่วงหลายเดือนหลังที่ผลงานของอาร์เซนอลตกลงอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันโอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกตามการคำนวณของซูเปอร์คอมพิวเตอร์เหลือไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ และฟุตบอลถ้วยในประเทศตกรอบไปหมดแล้ว นั่นหมายถึงทีมมีโอกาสจะจบฤดูกาลด้วยมือเปล่าสูง

 

แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงนับตั้งแต่เกมที่ถล่มเรอัล มาดริดขาดลอยถึง 3-0 เพราะเป็นครั้งแรกที่อาร์เซนอลในยุคของอาร์เตตาแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วพวกเขาอยู่ในระดับท็อปของโลกที่สามารถไล่ถลุงแชมป์เก่าผู้ยิ่งใหญ่ได้

 

เกมนี้เป็นเกมที่กันเนอร์ได้ ‘Coming of Age’ เติบโตไปอีกขั้น และสำคัญกว่านั้นคือมันทำให้รู้สึกว่าฤดูกาลที่เคยคิดว่าจะสูญเปล่านั้นมันไม่ได้สูญเปล่าอีกแล้ว

 

อาร์เซนอลมีความหวัง และความหวังนั้นยิ่งใหญ่มากด้วย

 

 

ก้าวต่อไปใหญ่กว่าเดิม

 

มองถึงเหตุผลที่ทำให้อาร์เซนอลทวงคืนทุกอย่างกลับมาได้ทันเวลาพอดีนั้น ส่วนสำคัญเป็นเพราะคีย์แมนทยอยหายกลับมาอีกครั้งหลังบาดเจ็บยาว

 

โดยเฉพาะ บูกาโย ซากา ปีกขวาที่เป็นเบอร์หนึ่งของทีมที่การขาดหายไปส่งผลอย่างร้ายแรงตลอดช่วง 4 เดือนหรือครึ่งฤดูกาลที่ผ่านมา 

 

และแน่นอนอีกส่วนคือเรื่องกำแพงทางจิตใจที่สามารถก้าวผ่านได้สำเร็จเสียที หลังจากที่มักจะไปไม่เป็นเมื่อเจอกับทีมในระดับ Elite ของยุโรป

 

จริงอยู่ที่เส้นทางยังต้องไปต่อและยากด้วยเพราะรอบหน้าจะต้องเจอกับปารีส แซงต์ แชร์แมง และหากผ่านไปได้ก็จะต้องเจอกับยอดทีมอย่างบาร์เซโลนา (ซึ่งเคยเป็นคู่ชิงในการเข้ารอบไฟนอลครั้งเดียวของอาร์เซนอลเมื่อ 19 ปีที่แล้ว) และอินเตอร์ มิลาน

 

แต่จากฟอร์มที่ปรากฏและทิศทางแล้ว ตอนนี้พอจะบอกได้เลยว่าอาร์เซนอลมีศักยภาพและโอกาสที่จะไปได้สุดทาง โดยเฉพาะในเวลานี้พวกเขาได้ ‘Feel Good Factor’ กลับมาเรียบร้อยแล้ว นักเตะ บอส และแฟนบอล ทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง

 

เป้าหมายระยะใกล้คือพยายามคว้าแชมป์ยุโรปให้ได้ ลบฝันร้ายเมื่อ 19 ปีที่แล้วให้สำเร็จ

 

ขณะที่เป้าหมายระยะยาว อันเดรีย แบร์ตา ผู้อำนวยการสโมสรคนใหม่จะต้องลบจุดอ่อนของทีมให้ได้ในช่วงปิดฤดูกาลนี้ด้วยการเสริมทีมในจุดที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแดนหน้าที่ต้องหา​ศูนย์หน้าอาชีพมาเสริมทีมให้ได้ ซึ่งก็มีหลายชื่อที่เชื่อมโยงอยู่ตามกระแสข่าว

 

ไม่ว่าอาร์เซนอลจะไปได้ไกลแค่ไหน ไปจนสุดทางหรือไม่ในช่วงที่เหลือของฤดูกาล แต่อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะเป็น ‘ต้นทุน’ ที่ดีเยี่ยมสำหรับฤดูกาลหน้า

 

โดยเฉพาะกับอาร์เตตาที่ใช้ความอดทนและผลงานแทนคำตอบให้กับทุกคน

 

5 ปีที่ผ่านมานั้นไม่ใช่จุดจบ

 

นี่แค่เกริ่นนำเท่านั้น (แค่เกริ่นนานหน่อย)

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising