ชัยชนะเหนือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนจะพิชิตเชลซีในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ต่อด้วยการต่อกรกับลิเวอร์พูลในรายการเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ได้อย่างถึงพริกถึงขิง ก่อนจะเฉือนเอาชนะในการดวลจุดโทษคว้าโล่การกุศล ได้ทำให้ ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอลของ มิเกล อาร์เตตา ดูมีอนาคตที่สดใสอย่างยิ่ง
ไม่นับการปรับทัพเสริมทีมที่ดูโอเคกว่าหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการดึง วิลเลียน ปีกจอมกระชากชาวบราซิลที่หมดสัญญากับเชลซีมาแบบฟรีๆ, กาเบรียล มาร์กัลเญส ปราการหลังอนาคตไกลชาวบราซิลเช่นกันที่ทุ่มซื้อจากลีลล์มาด้วยค่าตัว 23 ล้านปอนด์, การรั้ง ดานี เซบายอส ในสัญญายืมตัวจากเรอัล มาดริด ต่ออีกหนึ่งฤดูกาล
และความสำเร็จที่สุดคือการคว้าตัว โธมัส ปาร์เตย์ กองกลางที่ถูกมองว่าเป็นคีย์แมนในแดนกลางที่อาร์เตตาต้องการ ซึ่งกระชากตัวมาจากแอตเลติโก มาดริด ได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด รวมถึงการต่อสัญญากับ ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง ดาวยิงอันดับหนึ่งของทีมที่เคยลังเลกับอนาคตของทีม แต่กลับเปลี่ยนใจอยู่ในถิ่นเอมิเรตส์สเตเดียมต่อไป เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอาร์เซนอลกำลังก้าวเดินอย่างถูกทางอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นเรื่องในหรือนอกสนาม
แต่ความจริงที่โหดร้ายคือเมื่อผ่านพ้นช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์ไป อาร์เซนอลที่เริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างสวยงามพอสมควรเริ่มประสบปัญหาหนักขึ้นเรื่อยๆ
นับตั้งแต่ชัยชนะเหนือเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในวันที่ 4 ตุลาคมเป็นต้นมา ในพรีเมียร์ลีก พวกเขาชนะอีกเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นใน 7 นัด แม้จะเป็นชัยชนะที่ดีในการบุกไปเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ถึงโอลด์แทรฟฟอร์ด มีเสมอ 1 นัดในการไปเยือนลีดส์ ยูไนเต็ด นอกนั้นเป็นการแพ้ทั้งหมดต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้, เลสเตอร์ ซิตี้, แอสตัน วิลลา, วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส
ล่าสุดคือเกมที่กลายเป็นสัญญาณเตือนภัย เมื่อพวกเขาพ่ายต่อคู่แค้นร่วมลอนดอนเหนืออย่างท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ทีมที่เดินสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เพราะ ‘ไก่เดือยทอง’ ของ โชเซ มูรินโญ ขึ้นนำจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกในเวลานี้ ขณะที่อาร์เซนอลจมอยู่ในอันดับที่ 15
ถึงแม้ผลงานในฟุตบอลถ้วยจะพอไปวัดไปวาได้ แต่เมื่อผลงานในรายการที่มีความคาดหวังสูงอย่างพรีเมียร์ลีกนอกจากจะไม่ดีอย่างที่คาดยังแย่กว่าที่คิด ทำให้เริ่มเกิดคำถามกับการทำงานของอาร์เตตา กุนซือคนหนุ่มไฟแรง ว่าตกลงแล้วเขาพาทีมเดินไปข้างหน้าได้จริงจากยุคของ อูไน เอเมรี เหมือนที่รู้สึกในช่วงแรก
หรือสุดท้ายกันเนอร์สก็แค่เดินวนกลับมาที่เดิมโดยยังหาเส้นทางที่ถูกต้องไม่พบ?
ปัญหาของทีมที่เหมือนจะถูกแก้ไขได้แล้วกลับมาเป็นปัญหาใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องสไตล์การเล่นของทีมที่กลายเป็นคำถามสำคัญที่สุดในเวลานี้ว่าอาร์เซนอลนั้นจะเล่นฟุตบอลในแบบไหนกันแน่
สิ่งที่น่าสนใจคือหากมองในเรื่องของสถิติตัวเลขแล้ว อาร์เซนอลเป็นทีมที่มีสถิติตัวเลขที่สูง ในเกมกับสเปอร์ส พวกเขาเป็นฝ่ายที่ครองบอลได้มากกว่า และมีโอกาสในการเข้าทำด้วยการครอสบอลเข้าไปถึง 44 ครั้ง!
จำนวน 44 ครั้งนั้นเป็นสถิติการครอสบอลหรือการเปิดบอลจากริมเส้นเข้าเขตโทษที่สูงที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ และย้อนกลับไปในเกมก่อนหน้ากับวูล์ฟส์ กันเนอร์สก็มีการครอสบอลมากถึง 35 ครั้ง
เพียงแต่การครอสบอลจำนวนมากนั้นไม่ได้มีความหมายว่าเกมรุกของพวกเขาดีหรืออันตรายแต่อย่างใด เพราะอาร์เซนอลไม่ได้มีศูนย์หน้าที่เป็นเจ้าเวหาเหมือนอย่างเอฟเวอร์ตันที่มี โดมินิก คัลเวิร์ต-เลวิน หรือนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่มี แอนดี้ แคร์โรล
แม้ว่าโอบาเมยองจะเป็นยอดศูนย์หน้าที่ครบเครื่อง แต่ความถนัดของเขาไม่ใช่ลูกโหม่ง ขณะที่ อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ แม้จะเป็นกองหน้าในแบบหมายเลข 9 แต่ก็ไม่สามารถจะทำประตูเป็นกอบเป็นกำจากลูกกลางอากาศ
เมื่อมองในค่าสถิติ Expected Goal หรือ xG ในเกมกับสเปอร์สนั้น อาร์เซนอลมีโอกาสยิง 11 ครั้งด้วยกัน แต่ค่า xG อยู่ที่ 0.62 ซึ่งตีความได้ว่าโอกาสที่มีนั้นไม่ใช่โอกาสที่มีคุณภาพสูงที่จะได้ประตู (High-quality Chance)
และหากจะตีความในภาพใหญ่คืออาร์เซนอลมีปัญหาชัดเจนในเรื่องของการเข้าทำ การเซ็ตเกมรุกที่เหมือนจะทำได้ดี แต่พวกเขาจะเล่นได้ดีที่สุดจริงๆ ต่อเมื่อพบกับคู่แข่งที่เหนือกว่า คู่แข่งที่เปิดหน้าแลก มีพื้นที่ให้เล่นงานจู่โจม
ในชัยชนะเหนือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชลซี หรือลิเวอร์พูล ในย่อหน้าแรกของบทความนั้น อาร์เซนอลสยบทีมเหล่านี้ได้ด้วยการแก้เกมเพรสซิ่ง การเปลี่ยนจังหวะการเล่นที่รวดเร็ว การเปิดบอลไปยังตำแหน่งที่ซักซ้อมเอาไว้อย่างแม่นยำ (เช่น บอลทแยงมุมจากขวาไปมุมซ้ายให้กองหน้า) และอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของโอบาเมยองในการจบสกอร์
แต่แนวทางนี้ไม่ได้ผลอีกแล้ว เพราะเมื่อทีมใหญ่เหล่านี้จับทางได้ก็สามารถใช้ความสามารถและทีมเวิร์กที่เหนือกว่ากดจนอาร์เซนอลดิ้นไม่หลุด และสุดท้ายพวกเขาก็แพ้ต่อทั้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลิเวอร์พูล และอาจรวมถึงเลสเตอร์ ซิตี้
และเมื่อต้องเจอทีมในระดับใกล้เคียงหรืออ่อนกว่า พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าทำได้ จินตนาการในการเล่นหายไปจนน่าตกใจ และความมั่นใจของทีมก็ลดน้อยลง โดยเฉพาะผลกระทบรุนแรงจากความพ่ายแพ้คาบ้านต่อแอสตัน วิลลา 0-3 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่บุกไปเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ส่งผลรุนแรงอย่างมาก
นักเตะกันเนอร์สเริ่มไม่มั่นใจในการเล่นของตัวเอง และสะท้อนออกมาในภาพรวมกับผลงานของทีมที่ตกต่ำลง
ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวล และคนเป็นผู้นำอย่างอาร์เตตาจำเป็นที่จะต้องหาทางในการแก้ไขโดยเร็วที่สุด
โดยเฉพาะการค้นหาสไตล์การเล่นที่เหมาะสมกับทีมอย่างอาร์เซนอล ทั้งในเชิงของดีเอ็นเอสโมสรที่ถูกปลูกฝังจาก อาร์เซน เวนเกอร์ ในการเล่นฟุตบอลที่สวยงาม – และความจริงแล้วทุกคนก็คาดหวังว่าอาร์เตตาซึ่งเป็นมือขวาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา น่าจะนำสไตล์แบบเดียวกันมาด้วย ไม่ใช่สไตล์แบบแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุค เดวิด มอยส์ – และในเชิงของผู้เล่นที่มีในทีม
เพราะเห็นได้ชัดว่ายิ่งเวลาผ่านไป ผู้เล่นในทีมเริ่มมีความสุขในการเล่นน้อยลง ทั้งๆ ที่ตัวผู้เล่นในทีมอาร์เซนอลนั้นไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด
เวลานี้เขายังเป็นคนที่ทุกคนพร้อมให้โอกาสอยู่ เพียงแต่อย่าลืมว่าโอกาสนั้นมีจำกัด
เช่นเดียวกับเวลาและความอดทนของผู้คน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- https://www.skysports.com/football/news/11095/12153790/arsenals-defeat-to-tottenham-what-is-mikel-artetas-style-of-play-now
- https://www.telegraph.co.uk/football/2020/12/07/arsenal-appointed-ideological-manager-betraying-principles/
- https://www.telegraph.co.uk/football/2020/12/07/arsenal-naive-lacking-ability-either-way-mikel-arteta-must-quickly/