ระหว่างที่ตลาดนักเตะเริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในทีมที่ทำการเสริมทัพได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล
ต่อจากการเปิดตัวของ ไค ฮาเวิร์ตซ์ มาจากเชลซีด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ชาว Gooners ได้เฮกันต่อเนื่อง เมื่ออาร์เซนอลสามารถจัดการตกลงกับเวสต์แฮมในการคว้าตัว ดีแคลน ไรซ์ มิดฟิลด์เสาหลักทีมชาติอังกฤษมาในราคา 105 ล้านปอนด์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นการทุบสถิติของสโมสรแล้วยังเป็นสถิติการย้ายทีมสูงสุดของนักเตะอังกฤษในพรีเมียร์ลีก
และล่าสุดไม่น่ามีอะไรผิดพลาดพวกเขากำลังจะได้ เยอร์เรียน ทิมเบอร์ ปราการหลังดาวรุ่งอนาคตไกลจากอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัมอีกรายในราคา 40 ล้านปอนด์
เบ็ดเสร็จอาร์เซนอลจะทุ่มเงินมากกว่า 200 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
การทุ่มมากขนาดนี้มีความหมายเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากพวกเขาต้องการที่จะท้าชนกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้อีกครั้งในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ 2023/24!
ย้อนกลับไปในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว ต้องบอกว่าอาร์เซนอลภายใต้การนำของ มิเกล อาร์เตตา สามารถสร้างผลงานได้เกินกว่าความคาดหมายอย่างมาก
เพราะเดิมทีเป้าหมายหลักอยู่ที่การช่วงชิงพื้นที่ท็อปโฟร์ให้ได้เท่านั้น หลังจากที่พลาดท่าถูกท็อตแนม ฮอตสเปอร์ คู่ปรับร่วมเมืองแซงหน้าไปอย่างเจ็บปวดในช่วงท้ายฤดูกาล ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาเรื่องความไม่นิ่งของทีมในช่วงโค้งสุดท้าย ทำให้ต้องเจ็บปวดในที่สุด
แต่ปรากฏว่าในฤดูกาลที่แล้วอาร์เซนอลเริ่มต้นได้อย่างสวยงาม และไต่ระดับของทีมขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว สามารถเอาชนะคำสบประมาทของผู้รู้และแฟนบอลทีมอื่นมากมายว่าประเดี๋ยวพวกเขาก็จะแผ่วและอ่อนแรงกันไปเอง
ทีมของอาร์เตตาค่อยๆ ผ่านการทดสอบในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สร้างความน่าประทับใจได้ในหลายนัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงให้เห็นถึงธาตุทรหดเอาชนะเกมยากๆ ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และพยายามอาศัยจังหวะช่วงชุลมุนที่แมนฯ ซิตี้ รวมถึงคู่แข่งทีมอื่นอยู่ในช่วงขาลงสับหนีออกไปให้ไกลที่สุด
ในช่วงเวลาดีที่สุดอาร์เซนอลเคยนำหน้าซิตี้ถึง 8 แต้ม แม้จะลงแข่งมากกว่า 1 นัด
และพวกเขารักษาตำแหน่งจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีกเอาไว้ได้ถึง 248 วัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดที่เคยมีนับตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกสูงสุดใหม่ของอังกฤษเมื่อปี 1992
อย่างไรก็ดี ปัญหาของอาร์เซนอลนอกจากเรื่องของประสบการณ์ที่ยังเป็นรองแมนฯ ซิตี้ ภายใต้การนำของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา หลายเท่า ยังมีเรื่องของขุมกำลังที่อ่อนด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าในช่วงกลางฤดูกาลพวกเขาจะประคับประคองตัวเองจากการขาด กาเบรียล เชซุส ศูนย์หน้าชาวบราซิลที่เป็นหนึ่งในการเสริมทัพที่สำคัญอย่างยิ่งในช่วงปิดฤดูกาลที่แล้วร่วมกับ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก ที่ย้ายมาจากแมนฯ ซิตี้ด้วยกันได้ แต่ขุมกำลังในทีมที่อาร์เตตาแทบไม่ได้หมุนเวียนผู้เล่นมากนักก็ไม่สามารถประคองตัวเข้าเส้นชัยได้ไหว
โดยเฉพาะหลังการบาดเจ็บของ วิลเลียม ซาลิบา ดาวเด่นในแนวรับของทีมที่มีความสำคัญอย่างมากเกินกว่าที่ใครในทีมจะทดแทนได้ ความพยายามทุกอย่างที่ทำมาก็แตกสลาย และทำให้สุดท้ายพลาดท่าถูกซิตี้แซงหน้าคว้าแชมป์ไปครอง
แต่แทนที่อาร์เซนอลจะท้อแท้ พวกเขาดูเหมือนจะต้องการที่จะกลับมาท้าชิงแชมป์อีกครั้ง เพราะตอนนี้มั่นใจแล้วว่าทุกอย่างที่พยายามปูรากฐานมา ซึ่งต้องย้อนไปตั้งแต่การซื้อผู้เล่นอย่าง โธมัส ปาร์เตย์, เบน ไวท์, อารอน แรมส์เดล, มาร์ติน โอเดการ์ด มาจนถึงตัวอะไหล่อย่าง จอร์จินโญ และ เลอันโดร ทรอสซาร์ด เป็นการเดินในเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว
สิ่งที่ต้องทำต่อคือการพยายามยกระดับทีมขึ้นมาอีกขั้น ซึ่งถึงจุดนี้นักเตะที่จะเข้ามาเสริมทีมต้องดีกว่านักเตะที่มีอยู่เดิมเท่านั้น
และนั่นทำให้อาร์เซนอลมีแผนการที่ค่อนข้างชัดเจนสำหรับช่วงปิดฤดูกาลนี้ โดยพวกเขาต้องการนักเตะเข้ามาเสริมทัพอย่างน้อยจุดละ 1 คน ในตำแหน่งกองหลัง กองกลาง และกองหน้า
โดยคนแรกที่ถูกดึงตัวเข้ามาอย่างน่าเซอร์ไพรส์เล็กน้อยคือ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ศูนย์หน้าทีมชาติเยอรมนี ที่ทุ่มเงินกว่า 65 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อตัวมาจากเชลซี ที่มีความจำเป็นต้องโละนักเตะออกจากทีมเพราะกำลังจะประสบปัญหาติดขัดเรื่องกฎการเงิน Financial Fair Play
ฮาเวิร์ตซ์อาจจะไม่ได้ทำผลงานได้สมกับความคาดหวังนักหลังย้ายมาจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ด้วยการแปะป้าย ‘เด็กเทพ’ คนหนึ่งของวงการ และยังมีความสับสนว่าตกลงแล้วตำแหน่งที่ดีที่สุดของกองหน้าวัย 24 ปีรายนี้อยู่ตรงไหนกันแน่
แต่ความไม่ชัดเจนตรงนี้เองที่เป็นสิ่งที่อาร์เตตาชื่นชอบ เพราะนั่นหมายถึงฮาเวิร์ตซ์สามารถที่จะลงเล่นได้หลายตำแหน่ง ตั้งแต่กองหน้าตัวเป้า กองหน้าตัวริมเส้น ไปจนถึงกองหน้าตัวต่ำหรือกองกลางตัวรุกที่สนับสนุนกองหน้าอีกที
จุดเด่นของเขานอกจากรูปร่างสูงใหญ่ ขายาว มีทักษะการเล่นที่ดีมาก ยังเป็นนักเตะที่เคลื่อนตัวได้ดี หาตำแหน่งที่ว่างเก่ง สามารถสอดขึ้นมาหาโอกาสทำประตูได้ดีมาก และยังเป็นนักเตะที่มีไหวพริบดีด้วย ซึ่งน่าจะช่วยทำให้แนวรุกของอาร์เซนอลมีความอันตรายหรือมีทางเลือกที่ดีขึ้นไปจากฤดูกาลที่แล้ว
ขณะที่ ดีแคลน ไรซ์ ใครก็รู้ว่าอาร์เตตาต้องการได้มิดฟิลด์ตัวรับที่ดีที่สุดของอังกฤษในเวลานี้มายืนเป็นเสาหลักให้กับทีม
ที่ผ่านมาอาร์เตตาค่อนข้างพอใจกับการใช้งาน โธมัส ปาร์เตย์ แต่ปัญหาคือในระยะหลังฟอร์มการเล่นของอดีตมิดฟิลด์จอมแกร่งแอตเลติโก มาดริดเริ่มดรอปลง และมีส่วนไม่น้อยในผลงานที่ตกต่ำช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล
ทีนี้ลองหลับตาแล้วจินตนาการว่าหากเปลี่ยนจากปาร์เตย์เป็นไรซ์ ซึ่งเป็นนักเตะ ‘หมายเลข 6’ ที่แข็งแกร่งและครบเครื่องที่สุดคนหนึ่งที่สามารถแบกเวสต์แฮมได้ทั้งทีม (และแทบไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บด้วย) อาร์เซนอลจะแกร่งขึ้นแค่ไหน?
อย่างไรก็ดี หากปาร์เตย์ที่มีข่าวว่าอาจจะย้ายออกยังไม่ได้ย้ายไปไหน ก็มีโอกาสที่ไรซ์จะปรับเปลี่ยนบทบาทจากหมายเลข 6 เป็น ‘หมายเลข 8’ เพื่อแทนที่ของ กรานิต ชากา มิดฟิลด์จอมบู๊ที่ใกล้จะย้ายไปเลเวอร์คูเซน (ไรซ์จะยังไม่เปิดตัวจนกว่าชากาจะได้ย้ายออกไป)
โดยมีการวิเคราะห์ว่าในช่วงหลังไรซ์เองก็เริ่มที่จะทดลองในการขยับเติมเกมขึ้นมาช่วยเกมรุกของทั้งเวสต์แฮมและทีมชาติอังกฤษมากขึ้น และด้วยพละกำลังมหาศาลในตัวที่วิ่งขึ้นวิ่งลงได้ทั้งเกมไม่มีหมด ก็เป็นไปได้เหมือนกันที่อาร์เตตาจะมองเขาในฐานะ ‘Engine’ ของทีมมากกว่าเป็นแค่ตัวคุมเกม
ส่วนทิมเบอร์นั้นสามารถเล่นได้ทั้งกองหลังตัวกลางและแบ็กขวา ซึ่งจะเติมเต็มแนวรับของทีมได้เป็นอย่างดีในฐานะตัวสอดแทรกของทั้งซาลิบาหรือไวท์ ซึ่งยังเป็นจุดที่ถูกมองว่าเป็นจุดบอดอยู่โดยเฉพาะหากสองคนนี้เจ็บขึ้นมา
เรียกได้ว่า 3 คนนี้จะทำให้อาร์เซนอลแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าไม่ได้เป็นนักเตะในแบบที่มีความจำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเล่นในตำแหน่งเดียว แต่ทุกคนสามารถที่จะสลับบทบาทได้ ซึ่งก็เป็นเทรนด์ของนักฟุตบอลสมัยใหม่
ตลาดนักฟุตบอลในยุคนี้เรื่องของตำแหน่งหรือบทบาทถูกมองว่ากำลังเริ่มมีความสำคัญน้อยกว่าเรื่องของคุณสมบัติ (Attribute) นักเตะต้องพร้อมและดีพอที่จะถูกโยกหรือสลับตำแหน่งเพื่อเอาตัวรอดในแท็กติกการเล่นที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้นกว่าในอดีต และมีรายละเอียดเยอะขึ้นกว่าเดิมมาก
ที่ต้องชื่นชมคือฝ่ายบริหารของสโมสร โดยเฉพาะ เอดู ผู้อำนวยการสโมสรที่นับว่าเป็นผู้เข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงให้อาร์เซนอลกลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีอีกครั้ง และแน่นอนว่าต้องยกเครดิตให้เจ้าของสโมสรอย่าง สแตน โครเอนเก ที่แม้จะเคยถูกมองว่าเป็นศัตรูของแฟนๆ แต่ในช่วง 2-3 ปีหลังได้ให้การสนับสนุนอาร์เตตาอย่างเต็มที่ในการสร้างทีมเพื่อความสำเร็จ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาร์เตตาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทีมกำลังเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จจริงๆ (และภาพลักษณ์ที่ดีของทีมทำให้อาร์เซนอลสามารถขายนักเตะได้ราคาดีขึ้นด้วย โดยคาดว่าอาจจะขายนักเตะทำทุนได้มากถึง 200 ล้านปอนด์ แทบจะแทนเงินที่ซื้อฮาเวิร์ตซ์, ไรซ์ และทิมเบอร์ได้เลย!)
ที่เหลือก็เป็นงานของอาร์เตตาและลูกทีมแล้ว
20 ปีนับจากแชมป์ไร้พ่าย ‘The Invincible’ นี่คือฤดูกาลที่อาร์เซนอลดูดีและพร้อมที่สุดแล้ว
อ้างอิง: