รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงผลการพิจารณาโครงการประกันรายได้เกษตรกรปลูกข้าวและประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562/2563 ของคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอขออนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรปลูกข้าวและประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562/2563 โดยวันนี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติทั้งสองโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรปลูกข้าว คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณวงเงิน 21,495 ล้านบาท เพื่อใช้ในการประกันรายได้เกษตรกรที่ปลูกข้าว 5 ชนิด มีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรปลูกข้าว ปี 2562 จำนวน 892,176 ครัวเรือน ระยะเวลาโครงการ ตุลาคม 2562 – ตุลาคม 2563 ประเภทข้าวที่ได้รับประกัน ได้แก่
- ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน
- ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
- ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน
- ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน
- ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยคือผู้ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/2563 กับกระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ โดยเกษตรกรจะได้รับเงินส่วนต่างโอนเข้าบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยตรง หากราคาตลาดต่ำกว่าราคารับประกันรายได้
ขณะที่โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณวงเงิน 13,378 ล้านบาท เพื่อใช้ในการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มที่ขึ้นทะเบียน 300,000 ราย ระยะเวลาโครงการ สิงหาคม 2562 – กันยายน 2563
ทั้งนี้ผลปาล์มทะลายที่เข้าโครงการจะต้องมีคุณภาพน้ำมัน 18% ประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 4 บาท ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ และเป็นพื้นที่ปลูกปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว (อายุไม่น้อยกว่า 3 ปี) เกษตรกรจะได้รับเงินส่วนต่างโอนเข้าบัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) โดยตรง หากราคาตลาดต่ำกว่าราคารับประกันรายได้
นอกจากนี้แล้ว คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบแนวทางการดำเนินการบริหารปาล์มน้ำมันทั้งระบบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของหลายกระทรวง เพื่อเร่งเพิ่มปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มในประเทศและควบคุมปริมาณน้ำมันปาล์มล้นตลาด เช่น
การใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อการผลิตไฟฟ้า โดยเร่งรัดการจัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบส่วนที่เหลือ 133,750 ตัน เพื่อนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกงให้ครบ 200,000 ตัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 ให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์
การส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการปรับดันให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 เป็นน้ำมันดีเซลมาตรฐานภายในสิ้นปี 2562 จากเดิมที่เป็น B7 และสนับสนุนให้ใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 และ B7 เป็นทางเลือก
ถ้าทำสองแนวทางนี้ได้ตามเป้าหมาย เชื่อมั่นว่าจะทำให้ราคาน้ำมันปาล์มมีราคาที่สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์