จบลงไปแล้วสำหรับงาน Apple WWDC 2021 ซึ่งปีนี้ตัวงานยังคงจัดแบบปิดหรือ Virtual เช่นเคยตามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 โดยที่ตัวงานปีนี้ Apple ยังคงประกาศอัปเดตและฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่จะมาในทุกๆ ระบบปฏิบัติการในแต่ละผลิตภัณฑ์ออกมาอัดแน่น จุใจ ไม่ต่างจากทุกปี
ส่วนจะมีอะไรใหม่และเด็ด ฟีเจอร์ไหนน่าสนใจและน่าใช้งานเป็นพิเศษ อุปกรณ์รุ่นไหนบ้างที่จะได้รับการอัปเดต THE STANDARD ได้สรุปข้อมูลออกมาให้คุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
‘iOS15’ ยกเครื่อง FaceTime ใหม่เอี่ยมฆ่า Zoom เพิ่มโหมด Focus สร้าง ‘Work Life Balance’ ง่ายด้วยตัวเอง
- FaceTime – จะถูกพัฒนาให้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นในด้านการใช้งาน (Natural, Comfortable, Lifelike) โดยนำ Spatial Audio เข้ามาผสมผสานเพื่อช่วยให้การสนทนามีความรู้สึกเหมือนคุยในโลกจริงๆ แบบ Face to Face กันมากขึ้น ปรับตำแหน่งเสียงให้ออกมาตามตำแหน่งของกรอบวิดีโอที่ผู้ใช้งานแต่ละรายที่ FaceTime คุยกับเรา, มี Sound Isolation นำ Machine Learning มาปรับให้เสียงของผู้ใช้งานชัดเจนมากขึ้น ลดเสียงรบกวนรอบตัว, ปรับ Grid View เวลาสนทนาแบบกลุ่ม แล้วป๊อปอัพคู่สนทนาแต่ละคนให้ชัดขึ้นเพื่อให้เป็นมิตรกับการใช้งาน FaceTime สนทนาแบบกลุ่มมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังนำ Portrait Mode เข้ามาใช้เพื่อเบลอภาพด้านหลังของเราเวลาใช้ FaceTime แล้วเน้นที่ตัวเราอย่างเดียว ลดการรบกวนสายตาเวลาสนทนาแบบวิดีโอ
- FaceTime Link ส่งลิงก์หรือตั้งปฏิทินเวลาจะแชตแบบวิดีโอกับผู้ใช้งานคนอื่นๆ ได้แล้ว แถมผู้ใช้งานคนอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้ใช้อุปกรณ์ของ Apple ก็สามารถใช้งาน FaceTime ได้ผ่านหน้าเบราว์เซอร์ผ่านการคลิกลิงก์
- SharePlay ฟังเพลงกับผู้ใช้งานคนอื่นๆ (Apple Music) ดูหนังหรือดูซีรีส์ด้วยกัน และแชร์หน้าจอของเราให้กับผู้ใช้งานคนอื่นๆ ได้ด้วย เพื่อให้ผู้ใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ของ Apple สามารถมีปฏิสัมพันธ์ มีรีแอ็กไปพร้อมๆ กันเวลาดูหรือเสพคอนเทนต์ต่างๆ แล้วอยู่ไกลกันแต่อยากสนุกไปกับเพื่อนๆ, คนรัก, ครอบครัว
- Messenger ใช้ Shared with you สามารถส่งบทความต่างๆ ที่น่าสนใจให้กับเพื่อนผู้ใช้งานอุปกรณ์อื่นของเราได้ เช่น ผ่านเบราว์เซอร์ของ Safari หรือแชร์เพลงที่เราอยากให้เพื่อนฟังบน Apple Music, ภาพที่เราอยากแชร์ให้กับเพื่อนผู้ใช้งานคนอื่นๆ ซึ่งจะมีการจัดหน้าอินเทอร์เฟซสำหรับภาพที่มีคนแชร์กับเราโดยเฉพาะ ประโยชน์ก็คือช่วยเพิ่มช่องทางและเนื้อหาในการสนทนา แลกเปลี่ยนประเด็นที่น่าสนใจระหว่างกันได้ด้วยลูกเล่นและทางเลือกที่หลากหลาย
- Focus ช่วยให้ปรับ Notification ที่ออกแบบขึ้นมาสำหรับโหมดไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันได้ มีการสรุปการแจ้งเตือนแบบ Notification Summary เพื่อให้คนเข้าใจและจัดลำดับความสำคัญในสิ่งต่างๆ ที่แจ้งเตือนได้ โดย Apple นิยามว่าเป็นการ Drawing Boundaries ในการสร้างเส้นแบ่งให้กับสิ่งต่างๆ เพื่อสร้างความสมดุลในชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์, สร้างโหมดสำหรับ Personal Work หรือ Sleep หรือปรับแต่งเอง เพื่อให้เลือกได้ว่าเราจะเลือกการแจ้งเตือนใดสำหรับโหมดแต่ละโหมด เช่น ผ่าน อีเมล, ปฏิทิน, LINE หรือ Slack แบ่งตามเวลา ซึ่งการตั้งโหมดโฟกัสแต่ละโหมดก็จะแบ่งอัตโนมัติซิงก์ในอุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple ด้วย
- Live Text ดึง Text ข้อความออกมาจากภาพถ่าย แล้วนำมาวางในเมล Note ฯลฯ ได้ทันทีเพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำงาน และยังสามารถกดโทรได้ทันทีกรณีเป็นเบอร์โทรศัพท์ เข้าใจมากถึง 7 ภาษา (อังกฤษ, จีน, ฝรั่งเศส, อิตาลี, เยอรมัน, สเปน และโปรตุเกส) ทำงานได้ใน iPhone, iPad, Mac โดยที่ทั้งหมดเป็นการทำงานผ่าน Neural Network
- Spotlight ค้นหาภาพถ่ายต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้นด้วยการใช้คำค้นหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับภาพนั้นๆ
- Photos Memories มีการ Generate เพลงของ Apple Music ผ่าน Memories ของภาพต่างๆ แบบ Personalized ให้ซิงก์กับภาพถ่ายวิดีโอมากมายที่รวมอยู่ใน Memories เพื่อเพิ่มความอินเทอร์แอ็กทีฟกว่าเดิม
- Wallet เพิ่มฟีเจอร์ Keys มาให้กับตัว Wallet เพื่อเปลี่ยน iPhone เป็นกุญแจในการเข้าหรือปลดล็อกสิ่งต่างๆ ทั้งกุญแจสำหรับเข้าออฟฟิศ, กุญแจรถ กุญแจคีย์การ์ดโรงแรมหรือกุญแจเข้าบ้าน (แต่ทั้งนี้ทั้งน้ัน ตอนนี้ Apple ทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์บางรายในการใช้ฟีเจอร์นี้ (หมายความว่าไม่ได้ใช้ได้ทุกประเทศ หรือทุกอุปกรณ์ที่กล่าวมาข้างต้น)
- Weather เปลี่ยนเลย์เอาต์การรายงานสภาพภูมิอากาศด้วยกราฟิกแบบใหม่ๆ และ Animated Backgroud ที่จะเปลี่ยนแปลงอิงไปตามสภาพอากาศ ณ ตอนนั้นๆ ด้วย
- Apple Maps เพิ่มรายละเอียดเชิงลึกกับสถานที่ที่เป็นเชิงพาณิชย์ หรือแลนด์มาร์กมากขึ้น (เฉพาะบางเมืองในบางประเทศเท่านั้น) ทั้งด้านกราฟิกภาพสามมิติ โมเดลสถานที่ต่างๆ และตัวข้อมูล และยังให้ข้อมูลเชิงลึกบนถนน ทั้งทางแยก เลนถนน เพื่อเพิ่มความเป็นมิตรกับผู้ใช้งานที่ต้องเดินทางผ่านการขับรถ
- อุปกรณ์ที่รองรับการอัปเดต: iPhone 12, iPhone 12 mini, iPhone 12 Pro, iPhone 12 Pro Max, iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max, iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone XR, iPhone X, iPhone 8, iPhone 8 Plus, iPhone 7, iPhone 7 Plus, iPhone 6s, iPhone 6s Plus, iPhone SE (1st Generation), iPhone SE (2nd Generation), iPod touch (7th Generation)
‘AirPods’ ลดเสียงรบกวนเวลาสนทนา พอทำหายก็หาเจอง่ายขึ้น
- Conversation Boost ปรับเสียงรบกวนสิ่งแวดล้อม (Noise Ambience) ได้แล้วทั้งแบบอัตโนมัติและปรับแต่งด้วยตัวเองบน AirPods Pro เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานได้ยินเสียงสนทนาจากคู่สนทนาชัดเจนมากขึ้น
- Annouce Notification ปรับการแจ้งเตือนต่างๆ ผ่านเสียงของ Siri
- Find My เวลา AirPods หาย จะเพิ่มความสามารถในการค้นหาให้ละเอียดมากขึ้น เวลาที่เข้าใกล้ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงการแจ้งเตือนในระดับที่ต่างออกไป
- Spatial Audio ตอนนี้ใช้ AirPods Pro และ AirPods Max ฟัง Spatial Audio ได้เแล้วใน Apple Tv และยังฟังแบบ Dolby Atmos กับเพลงต่างๆ ที่รองรับใน Apple Music ได้
‘iPadOS 15’ เพิ่ม Widgets หลากหลายแบบจุใจ ใช้ Note เมนชันและติดแท็กคนอื่นได้แล้ว
- เริ่มจาก Widgets ที่จะมีการปรับเพิ่ม Widgets บนหน้า Home ให้มีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงตัวเลย์เอาต์เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งหน้าจอได้อิสระตามต้องการ และเพิ่มความสะดวกในการใช้แอปพลิเคชันต่างๆ
- เพิ่ม App Library ในการจัดหมวดหมู่แอปพลิเคชันต่างๆ ให้เป็นระเบียบกว่าเดิม
- Multitasking ปรับให้ผู้ใช้งานสามาถรออกแบบการทำงานในโหมด Multitasking หรือเปิดหลายแอปฯ บนหน้าจอเดียวได้หลากรูปแบบมากขึ้น และง่ายกว่าเดิม เลือกเปิดใช้งานได้จากด้านบนของจอว่าจะใช้งานแบ่งจอ Multitasking แบบไหน
- Note สามารถ Mention ผู้ใช้งานคนอื่นๆ ได้เวลาต้องทำงานในไฟล์ร่วมกัน หรือติด Tag ใน Note นั้นๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดหมวดหมู่หรือค้นหา, Quick Noter เพิ่มวิธีการเรียกใช้แอปฯ จดบันทึกได้ง่ายขึ้นผ่านการใช้ Apple Pencil ลากบริเวณมุมจอขึ้นมาแล้วจดอะไรก็ตามที่ต้องการได้ทันที ไม่ว่าจะเปิดใช้งานแอปฯ ไหนอยู่ มีฟีเจอร์การแปลภาษาที่ถูกอัปเกรดให้สามารถแปลภาษาบน Text ในแอปฯ ต่างๆ หรือแปลจาก Text บนภาพก็ได้ด้วย (ลากคลุม Text ก็แปลได้เหมือนใช้ Google Translate บน Extension)
- Swift Playgrounds ที่จะช่วยให้เราสามารถทดลองเขียนโค้ด พัฒนาและสร้างแอปฯ ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
- อุปกรณ์ที่รองรับการอัปเดต: iPad Pro 12.9-inch (5th Generation), iPad Pro 11-inch (3rd Generation), iPad Pro 12.9-inch (4th Generation), iPad Pro 11-inch (2nd Generation), iPad Pro 12.9-inch (3rd Generation), iPad Pro 11-inch (1st Generation), iPad Pro 12.9-inch (2nd Generation), iPad Pro 12.9-inch (1st Generation), iPad Pro 10.5-inch, iPad Pro 9.7-inch, iPad (8th Generation), iPad (7th Generation), iPad (6th Generation), iPad (5th Generation), iPad mini (5th Generation), iPad mini 4, iPad Air (4th Generation), iPad Air (3rd Generation) และ iPad Air 2
‘WatchOS 8’ ตรวจข้อมูลการหายใจตอนนอนละเอียดขึ้น เพิ่มหน้าปัดเป็นรูปถ่าย Portrait ได้แล้วนะ
- Breathe Mode เพิ่มอนิเมชันกราฟิกให้สวยขึ้น และช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำสมาธิผ่านลมหายใจด้วยจังหวะที่ช้าลงและนานขึ้น
- Reflect โหมดการทำสมาธิอีกรูปแบบที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานโฟกัสได้ดีกว่าเดิม ผ่อนคลาย มีกราฟิกแอนิเมชันขึ้นแบบอินเทอร์แอ็กทีฟระหว่างใช้งานเหมือน Breathe Mode
- Respiratory Rate ให้รายละเอียดข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการหายใจในระหว่างนอนหลับและใช้งาน Sleep Tracking โดยมีการเพิ่มข้อมูลการตรวจจับอัตราการหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือดแบบละเอียดตอนที่เราหลับด้วย
- มีการเพิ่มหน้าปัดหน้าฬิกา Watch Face รูปแบบใหม่ๆ เช่น หน้าปัดรูปภาพ Portrait จาก iPhone เพื่อเพิ่มทางเลือกการแต่งหน้าปัด Apple Watch ให้หลากหลาย ไม่จำเจ มีความเป็น Personalized เฉพาะตัวสุดๆ
- เพิ่มความสามารถในหน้า Message ให้สามารถพิมพ์ข้อความ Scribble หรือเขียนตัวอักษรจากหน้าจอ Watch ได้ดีกว่าเดิมในการแชตกับผู้ใช้งานคนอื่นๆ
- อุปกรณ์ที่รองรับการอัปเดต: Apple Watch Series 3, Apple Watch Series 4, Apple Watch Series 5, Apple Watch SE, Apple Watch Series 6 (ไม่ใช่ทุกฟีเจอร์จะรองรับในทุกอุปกรณ์ เช่น การวัดระดับออกซิเจนในเลือด โดยจำเป็นจะต้องใช้ iPhone 6s ในระบบปฏิบัติการ iOS 14 หรือใหม่กว่านั้นในการอัปเดต WatchOS 8)
‘Home’ ยกระดับบ้านอัจฉริยะเข้าไปอีกสเตป ควบคุมทุกอย่างผ่านระบบนิเวศ Apple
- ใช้ Wallet เป็นกุญแจบ้าน (Home Keys) เปิดประตูเข้าออกบ้านได้ (ภายใต้แบรนด์พาร์ตเนอร์ผู้พัฒนาระบบประตูที่ทำงานร่วมกับ Apple และรองรับเฉพาะในบางประเทศเท่านั้น)
- สั่งการ Siri บน HomePod Mini ในการเปิดดูคอนเทนต์บน Apple TV ได้ และยังสามารถใช้ Shared Play ในการดู Apple TV บนจอโทรทัศน์ไปพร้อมๆ กับเพื่อนผู้ใช้งานคนอื่นๆ ได้
- ใช้ HomePod Mini เชื่อมต่อเป็นลำโพงให้กับ Apple TV 4K ได้เพื่อเพิ่มไดนามิกเสียงเวลาเสพคอนเทนต์ให้เต็มอิ่มขึ้น
- เพิ่มการตั้งค่ากล้องวงจรปิดต่างๆ ในบ้านให้เข้ามาอยู่ในระบบนิเวศของ HomeKit เพื่อให้เราสามารถเรียกดูภาพจากล้องแบบเรียลไทม์บน Apple TV และจอโทรทัศน์ได้เลย
‘macOS Monterey’ ควบคุมการใช้งานทุกอุปกรณ์ด้วย ‘Universal Control’ แบบไม่มีอะไรมากั้น
- ใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ที่ Apple ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ทั้ง FaceTime, Message, Shared Play, Shared with you, Note และ Focus เหมือนๆ กับที่ตั้งค่าไว้ใน iOS เลย ซึ่งทั้งหมดจะซิงก์เชื่อมต่อกันแบบอัตโนมัติ
- Universal Control ช่วยเพิ่มความ Seamless ในการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ บนระบบนิเวศของ Apple ให้มีความลื่นไหล ไร้รอยต่อมากขึ้นผ่านการควบคุมจากอุปกรณ์เดียว เช่น เลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์บน MacBook ทะลุไปยังจอ iPad ที่วางอยู่ใกล้ๆ กันเพื่อควบคุม iPad และใช้คีย์บอรด์บน iPad ในการใช้งานต่างๆ ได้ทันทีแบบไม่มีอะไรมากั้น ควบคุมได้มากกว่า 2 อุปกรณ์ภายใต้ความสามารถนี้ (เช่น iMac, MacBook และ iPad) แถมยังลากไฟล์ข้ามอุปกรณ์มาวางในโปรแกรมที่รองรับได้อีกด้วย เช่น ลากไฟล์ภาพจาก iPad มาวางบน Keynote ใน Mac และไปวางต่อใน Final Cut บน iMac
- AirPlay to Mac แชร์ไฟล์หรือคอนเทนต์เพลง ซีรีส์ต่างๆ เล่นบน Mac ได้
- Shortcut เพื่อเพิ่มทางลัดในการเปิดใช้งานแอปฯ หรือโปรแกรมต่างๆ ได้แบบที่ปรับแต่งได้ด้วยตัวเอง
- มีการปรับดีไซน์อินเทอร์เฟซของ Safari ใหม่ให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม เช่น การปรับโฉมหน้า Tab ให้ดูดี สี Tab Bar กลืนไปกับพื้นหลังเว็บ และสมูท User Friendly กว่าเดิม แบ่ง Tab Group แยกตามเว็บไซต์และประเภทการเข้าใช้งานได้เพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการใช้
- อุปกรณ์ที่รองรับการอัปเดต: iMac Late 2015 และใหม่กว่านั้น, Mac Pro Late 2013 และใหม่กว่านั้น, iMac Pro 2017 และใหม่กว่านั้น, Mac mini Late 2014 และใหม่กว่านั้น, MacBook Air Early 2015 และใหม่กว่านั้น, MacBook Early 2016 และใหม่กว่านั้น, MacBook Pro Early 2015 และใหม่กว่านั้น
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า