เวลาผ่านไปไวอย่างไม่น่าเชื่อ จากวันเปิดตัว Apple Watch ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2014 วันนี้นาฬิกาข้อมืออัจฉริยะที่ขายดีที่สุดในโลก เปลี่ยนชีวิตของใครหลายคนมานานถึง 10 ปีแล้ว และแน่นอนว่าด้วยความเป็น ‘รุ่นที่ 10’ เราย่อมอยากเห็นอะไรพิเศษๆ บ้าง
ปรากฏว่าไม่มี! เพราะการเปิดตัว Apple Watch Series 10 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นอะไรมากมายนัก (และเป็นเรื่องที่เราควรชินได้แล้วสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Apple ในยุคหลัง) ในการฟังข้อมูลทางเทคนิคและฟีเจอร์ต่างๆ แล้ว ในความรู้สึกคิดว่าน่าจะไม่มีอะไรแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า (Series 9) มากเท่าไรนัก
แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น และสิบตาเห็นก็ไม่เท่าการสัมผัสจริง ซึ่งต้องบอกว่า Apple Watch Series 10 ทำให้ประหลาดใจได้อยู่พอสมควรเลยทีเดียว
ความเปลี่ยนแปลงที่รู้สึกชัดเจนที่สุดคือ ตัวเรือนบางลงแบบรู้สึกได้ โดย Apple บอกว่าตัวเรือนบางลง 10% จากเดิม ทำให้ไม่นูนเหมือนซีรีส์ก่อนๆ ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่ใช้งาน Apple Watch อยู่แล้วจะรู้สึกถึงความแตกต่าง
และแน่นอน บางขึ้นก็ทำให้ตัวเรือนดูสวยและลงตัวมากขึ้นด้วย ยิ่งตัวเรือนสีใหม่ (แต่เป็นสีเก่าอันลือลั่นของ iPhone 7) อย่างสี Jet Black ที่เป็นสีดำเงาก็ทำให้รู้สึกถึงความหรูเล็กๆ
Apple Watch Series 10 ไม่ได้มีดีแค่ความบาง แต่ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่มีผลไม่น้อยคือขนาดจอที่ใหญ่ขึ้น 1 มิลลิเมตร จากรุ่นเดิม 41 มิลลิเมตร และ 45 มิลลิเมตร เป็น 42 มิลลิเมตร และ 46 มิลลิเมตร (ยังใช้สายของรุ่นก่อนได้ไม่มีปัญหา) ทำให้จอใหญ่ขึ้น (30% เมื่อเทียบกับ Series 4-6 และ 9% สำหรับ Series 7-9) สวยขึ้นและดูง่ายขึ้นมาก
ให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีขึ้นกว่าเดิมแบบรู้สึกได้เลย เพราะมองเห็นชัดทุกมุมมอง โดยเฉพาะขนาด 46 มิลลิเมตร เมื่อทดลองใช้ดูจะรู้สึกได้ว่ามีผลต่อหัวใจ ชวนอยากให้อัปเกรดมากจริงๆ
แต่การอัปเกรดของรุ่นที่ 10 ไม่ได้จบแค่ตัวเรือนและขนาดหน้าจอเท่านั้น สิ่งที่ Apple ใส่เข้ามายังมีเรื่องของลำโพงที่ทำให้เราฟังเพลง ฟังรายการ Podcasts หรือกระทั่งการอ่านหนังสือก็ทำได้ ซึ่งจริงๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักกับลำโพงเล็กๆ ที่ติดมากับนาฬิกา
แต่เท่าที่ลองใช้ดูก็ถือว่าใช้ได้อยู่ วิ่งไปฟังเพลงคลอไปเบาๆ โดยไม่ต้องใส่หูฟังก็ใช้ได้เหมือนกัน และแน่นอนว่าใช้คุยโทรศัพท์ได้ดีขึ้นด้วยระบบแยกเสียงสนทนา ที่แยกระหว่างเสียงพูดและเสียงพื้นหลังได้ อันนี้อยากบอกว่าฉลาดมาก
และที่ชอบอีกอย่างคือ สายแบบ Link Bracelet สายแบบใหม่ที่ให้ความหรูหรา ใส่ออกงานทางการได้เลย (แต่คุณต้องจ่ายเพิ่มอีก 14,500 บาท) ซึ่ง Apple บอกว่ามีชิ้นส่วนมากกว่า 100 ชิ้นที่ผลิตจากโลหะผสมสเตนเลสสตีล 316L ใช้เวลาเกือบ 9 ชั่วโมงในการตัดข้อต่างๆ สำหรับสายนาฬิกาเพียงเส้นเดียว โดยมีตัวล็อกแบบปีกผีเสื้อที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะพับติดอยู่กับตัวสาย
นอกจากนี้ตรงข้อหลายข้อยังมีปุ่มปลดล็อกที่กดง่าย ให้ใส่ข้อเพิ่มหรือถอดออกได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษให้ยุ่งยาก ซึ่งเราลองแล้วปรากฏว่าจริงแม้จะขลุกขลักไปบ้างในตอนแรก แต่ในที่สุดก็เรียนรู้เรื่องการถอดและใส่ได้แล้วในเวลาสั้นๆ
สิ่งที่น่าติงสำหรับ Apple Watch Series 10 ยังเป็นเรื่องของแบตเตอรี่ที่ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ชดเชยด้วยระบบการชาร์จใหม่ ที่ชาร์จเร็วจาก 0-80% ได้ในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
สำหรับคนที่ชอบลืมชาร์จตอนกลางคืน (เช่น ผู้เขียน) การชาร์จไวแบบนี้ช่วยประหยัดเวลาและลดความตึงเครียดในยามเช้าที่เร่งรีบได้มาก และน่าจะดีสำหรับผู้ที่ใช้งานหนักจนอาจทำให้แบตเตอรี่หมดไวก่อนครบวัน (ชาร์จ 15 นาทีใช้ได้ 8 ชั่วโมง)
ยังมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน Depth และ Tides สำหรับผู้ที่ชอบกิจกรรมทางน้ำ แอป Vitals ที่เป็นเหมือนตัวสรุปข้อมูลด้านสุขภาพประจำตัวของเรา ไปจนถึงการเพิ่มประเภทกีฬาใน Workout (มีฟุตบอลด้วย!) และ Sleep Apnea ฟีเจอร์ที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งสามารถตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้
รวมๆ แล้ว Apple Watch Series 10 เป็นการอัปเกรดที่ดีกว่าความคาดหวังพอสมควร อย่างน้อยแค่เรื่องขนาดตัวเรือนที่บางลง และหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ชัดขึ้น ก็มีผลต่อหัวใจแล้ว เพียงแต่แนะนำให้ไปลองจับของจริงก่อน จะช่วยตอบความรู้สึกได้ดีที่สุด
โดย Apple Watch Series 10 มี 2 รุ่นหลักคือ รุ่น Aluminum ราคาเริ่มต้น 14,900 บาท (สำหรับ GPS) มี 3 สีด้วยกันคือ Jet Black, Rose Gold และ Silver ขณะที่รุ่น Titanium (ที่สวยและหรูขึ้นไปอีก) ราคา 25,900 บาท มี 3 สีคือ Natural, Gold และ Silver โดยทุกรุ่นมี 2 ขนาดคือ 42 มิลลิเมตร และ 46 มิลลิเมตร
ทีนี้จะดำเงาหรือดำด้าน ก็ลองถามใจตัวเองกันดู!
เมธา พันธุ์วราทร