Kevin Roose ผู้เป็นคอลัมนิสต์ด้านเทคโนโลยีของ The New York Times ออกมาเขียนบทความที่ระบุว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเขามีโอกาสได้ลองใช้ Apple Vision Pro เป็นครั้งแรก มันให้ความรู้สึกเหมือนเวทมนตร์ จนหลงรักชุดหูฟัง ‘Spatial Computing’ ราคา 3,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.27 แสนบาท) นี้ แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่ามันมีไว้เพื่ออะไรกันแน่
เขาพกมันไปทุกที่ ทนต่อสายตาแปลกๆ จากเพื่อนร่วมงาน คนแปลกหน้าในร้านกาแฟ และผู้โดยสารบนเครื่องบิน แต่ความตื่นเต้นก็จางหายไป ทุกวันนี้เขาแทบไม่ได้ใช้ Vision Pro เลย นานๆ ครั้งจะหยิบมาใช้เขียนงานหรือดูภาพยนตร์บนเตียงตอนภรรยาหลับ
Apple ยังไม่เปิดเผยยอดขายอย่างเป็นทางการ แต่จากการประเมินของนักวิเคราะห์บ่งชี้ว่า Vision Pro อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดไว้ ผู้ใช้หลายคนขอคืนเงินและมีการขายต่อในราคาเพียง 2,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 90,000 บาท) บนเว็บไซต์ขายของมือสอง
เมื่อสอบถามเพื่อนๆ ที่เป็นเจ้าของ Vision Pro ที่ส่วนใหญ่เป็นนักข่าวและคนทำงานด้านเทคโนโลยีพบว่า มีน้อยคนนักที่ยังคงใช้งานอยู่
ในงานประชุมนักพัฒนาระดับโลก (WWDC) ประจำปี Apple ประกาศฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับ Vision Pro เช่น visionOS เวอร์ชันใหม่ การควบคุมด้วยท่าทาง และการแปลงรูปภาพเก่าเป็น ‘Spatial Photos’ แบบ 3 มิติ แต่ก็เป็นเพียงการปรับปรุงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่การยกเครื่องครั้งใหญ่อย่างที่แฟนๆ หลายคนคาดหวังไว้
อีกทั้ง Vision Pro ยังถูกบดบังรัศมีด้วยโครงการใหม่ที่น่าตื่นเต้นกว่านั่นคือ Generative AI หรือ ‘Apple Intelligence’ ซึ่งบริษัทกำลังผลักดันให้เข้าไปอยู่ในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ รวมถึง Siri เวอร์ชันใหม่ที่จะเปิดตัวบน iPhone ในปีนี้
เขามองปัญหาหลักของ Vision Pro นั่นคือราคาที่สูงเกินไป ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้แว่นตายังมีน้ำหนักมากเกินไป ทำให้สวมใส่ไม่สบายเป็นเวลานาน แบตเตอรี่ภายนอกก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา และยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น การใช้งานในที่มืดหรือแสงน้อย การป้อนข้อความ และโหมด Guest ที่ยุ่งยาก
นอกจากปัญหาฮาร์ดแวร์แล้ว Vision Pro ยังขาดแอปพลิเคชันที่น่าสนใจ ไม่มีแอป YouTube, Netflix, Spotify และ Instagram ทำให้ประสบการณ์ในการใช้งานไม่ดีเท่าที่ควร
Apple ยังล่าช้าในการอัปเดตเนื้อหาสำหรับ Vision Pro เช่น วิดีโอ Immersive ที่ถ่ายทำด้วยกล้อง 3 มิติพิเศษ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถทำได้ด้วย Vision Pro แต่หลังจากที่ดูวิดีโอเหล่านี้จนหมดแล้ว สิ่งที่เหลือให้ดูก็คือเนื้อหา 2 มิติแบบเดียวกับที่ดูบนทีวีหรือ iPad
ส่วนตัวของ Kevin Roose ยังคงคิดว่า Vision Pro เป็นเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง แต่ถ้า Apple ต้องการให้ Vision Pro ดึงดูดคนหมู่มาก ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น ลดราคา แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ และปล่อยเนื้อหา Immersive มากขึ้น
ที่สำคัญที่สุดคือ Apple ต้องหาและสนับสนุนแอปพลิเคชันที่เป็น ‘Killer App’ ซึ่งเป็นแอปใหม่ๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติของ Vision Pro ได้อย่างเต็มที่ และเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้คนซื้อ
Vision Pro ยังใหม่อยู่ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple ก็ใช้เวลาหนึ่งหรือสองรุ่นกว่าจะประสบความสำเร็จ (Apple Watch ก็เคยล้มเหลวในตอนเปิดตัว จนกระทั่ง Apple ค้นพบว่าการติดตามสุขภาพเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ) Apple กล่าวหลายครั้งว่า พวกเขามองว่า Vision Pro เป็นการทดลองในช่วงแรก ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ
แต่เขากังวลว่า Vision Pro อาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย เพราะมันไม่ใช่โครงการใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของ Apple (ตอนนี้คือ AI ซึ่ง Wall Street กำลังเรียกร้องและผู้ใช้หลายคนตื่นเต้น) และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับ Apple เช่น iPhone หรือ iPad
เพื่อให้ Vision Pro สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ Apple จำเป็นต้องให้ความรักและวิสัยทัศน์กับมันมากขึ้น Apple ต้องตอบคำถามพื้นฐานให้ดีกว่านี้ เช่น อุปกรณ์นี้มีไว้เพื่ออะไร? มันจะปรับปรุงชีวิตของฉันหรือทำให้มี Productivity มากกว่าสิ่งอื่นๆ ที่สามารถซื้อได้ในราคา 3,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.23 แสนบาท) ได้อย่างไร? รวมถึงสามารถทำอะไรกับมันได้บ้างที่ไม่สามารถทำได้บนแล็ปท็อปหรือทีวีจอใหญ่?
ถ้า Apple ยังไม่ขยับตัวครั้งใหญ่ Vision Pro อาจต้องเผชิญกับการถูกลืมเลือน และชาว Vision Bros ก็อาจกลายเป็นเหล่า Google Glassholes แห่งปี 2024 กลุ่มเกรียนกล้าหาญแต่โง่เขลา ที่เดิมพันกับเทคโนโลยีล้ำยุคชิ้นใหม่ และพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า ราวกับนักพนันที่หมดตัวในคาสิโนแห่งนวัตกรรม
ภาพ: Wang Gang / Feature China / Future Publishing via Getty Images
อ้างอิง: