การเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่บางกว่าเดิมของ Apple ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ไม่ใช่แค่การกระตุ้นยอดขาย แต่มันคือจุดเริ่มต้นใหม่ของ iPhone อย่างแท้จริง!
ตั้งแต่ปี 2020 Apple เปิดตัว iPhone หลักๆ ปีละ 4 รุ่น แต่ปีนี้จะปรับสูตรใหม่ โดยจะเปิดตัวรุ่นเริ่มต้น 1 รุ่น, รุ่นไฮเอนด์ 2 รุ่น และอุปกรณ์อีก 1 รุ่นที่อยู่ระหว่างกลาง ซึ่ง Mark Gurman แห่ง Bloomberg ระบุว่าเขาขอตั้งชื่อว่า iPhone 17 Air
เช่นเดียวกับ MacBook Air ตัว iPhone รุ่นใหม่นี้จะบางกว่ารุ่นอื่นๆ แต่มีการผสมผสานระหว่างฟังก์ชันระดับโปรและระดับเริ่มต้น และเช่นเดียวกับ MacBook Air รุ่นแรก สมาร์ทโฟนรุ่นนี้จะตัดฟีเจอร์เก่าแก่, ใช้อุปกรณ์ใหม่ล่าสุด และใช้มาตรฐานการออกแบบใหม่ และในที่สุดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะแพร่หลายไปยังผลิตภัณฑ์อื่นๆ
iPhone Air รุ่นใหม่นี้อาจมีหน้าจอประมาณ 6.6 นิ้ว, ขอบบางเฉียบ, เทคโนโลยี ProMotion และ Dynamic Island ขนาดมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติที่ได้รับการปรับปรุง เช่น ปุ่ม Camera Control และถึงแม้จะบางกว่ามาก แต่จะมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่เทียบเท่ากับ iPhone รุ่นปัจจุบัน
เบื้องหลังการทำงานของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ คือการทำงานอย่างหนักของทีมงาน Apple หลายทีม สมาร์ทโฟนที่บางกว่าเดิมต้องการแบตเตอรี่ที่บางกว่าเดิม Apple จึงออกแบบส่วนประกอบของจอแสดงผล, ซิลิคอน และซอฟต์แวร์ใหม่เพื่อให้เครื่องมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม Apple จำเป็นต้องประนีประนอมบางอย่างเพื่อให้เครื่องบางลง โดยลดความหนาลงประมาณ 2 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นเรื่องยาก
ด้านหลังมีกล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซลเพียงตัวเดียว คล้ายกับ iPhone 16e รุ่นนี้ใช้ชิป A19 มาตรฐาน แทนที่จะเป็น A19 Pro ระดับไฮเอนด์ที่จะมาในรุ่น Pro และจะ ‘ไม่มี’ ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Physical (ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับ iPhone รุ่นอื่นๆ ของ Apple ในสหรัฐฯ อยู่แล้ว แต่คุณสมบัติดังกล่าวมีอยู่ในตลาดอื่นๆ บางแห่ง และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ซื้อจำนวนมากในจีน)
ในขณะเดียวกัน สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ก็ได้รับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เช่น ชิปโมเด็มที่ Apple พัฒนาเอง ชื่อว่า C1 ซึ่งประหยัดพลังงานกว่าโมเด็มจาก Qualcomm และช่วยให้รุ่น Air มีดีไซน์ที่บางเฉียบได้ อย่างไรก็ตาม ชิปนี้ไม่รองรับเทคโนโลยี mmWave
เดิมที Apple หวังที่จะทะเยอทะยานมากกว่านี้ โดยสร้างต้นแบบที่มีหน้าจอขนาด 6.9 นิ้ว แต่ยกเลิกไปเพราะกังวลว่าอุปกรณ์ที่บางเฉียบและมีหน้าจอขนาดใหญ่จะงอได้ง่าย
แนวคิดที่ใหญ่กว่านั้นคือการทำให้ Air เป็น iPhone รุ่นแรกที่ไม่มีพอร์ตใดๆ เลย โดยมุ่งเน้นไปที่การชาร์จแบบไร้สายและการซิงค์ข้อมูลกับ Cloud อย่างเต็มรูปแบบ แต่ในที่สุด Apple ก็ตัดสินใจที่จะยังมีช่องต่อ USB-C อยู่ เหตุผลสำคัญคือมีความกังวลว่าการตัด USB-C ออกไปจะสร้างความไม่พอใจให้กับหน่วยงานกำกับดูแลของสหภาพยุโรป
iPhone 17 Air เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับ Apple ซึ่งจะนำมาซึ่งการออกแบบอุตสาหกรรมใหม่ หาก iPhone รุ่นใหม่นี้ประสบความสำเร็จ บริษัทตั้งใจที่จะสร้าง iPhone ที่ไม่มีพอร์ตอีกครั้ง และเปลี่ยนรุ่นอื่นๆ ให้มีดีไซน์ที่บางกว่านี้
ความสำเร็จนั้นไม่รับประกัน ความพยายามก่อนหน้านี้ในการนำเสนอ iPhone รูปแบบอื่นล้มเหลว ทำให้ Apple ต้องค้นหาสมาร์ทโฟนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งสามารถวางตำแหน่งระหว่างตัวเลือกเริ่มต้นและ Pro ได้ คาดว่าราคาของ Air รุ่นใหม่อาจอยู่ที่ประมาณ 900 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับ iPhone 16 Plus
Apple กำลังเตรียมที่จะใช้เทคโนโลยีจาก iPhone 17 Air เพื่อสร้างรุ่นในอนาคตที่จะก้าวล้ำมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงรุ่นพับได้ที่จะคล้ายกับ Galaxy Z Fold และจะเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของ iPhone
Apple กำลังวางแผนที่จะปรับปรุงรูปลักษณ์และความรู้สึกของสมาร์ทโฟนรุ่น Pro ซึ่งแนวทางปัจจุบันมีมาตั้งแต่ iPhone 15 Pro ในปี 2023 แต่มีรากฐานจากการออกแบบ iPhone 12 Pro ในปี 2020 กล่าวคือสมาร์ทโฟนรุ่น Pro ของ Apple ดูไม่แตกต่างจากเมื่อห้าปีที่แล้วมากนัก
แต่ภายในปี 2026 หรือ 2027 Gurman ย้ำว่า เราน่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายมากขึ้น รวมถึงการย้ายส่วนประกอบบางอย่างจาก Dynamic Island ไปใต้จอแสดงผล ซึ่งจะช่วยลดรอยบากด้านบนและทำให้ Apple เข้าใกล้ความฝันที่จะมีสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น
อ้างอิง: