หลังจากปล่อยตัวอย่างออกมายั่วน้ำลายกันตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ในที่สุดช่วงเที่ยงคืนของวันศุกร์ที่ผ่านมา (20 กันยายน) Apple ก็เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ ‘iOS 13’ ใน iPhone ได้แล้ว
ซึ่งความเปลี่ยนแปลงหลักๆ ที่สังเกตได้ชัดที่สุดคือ Dark Mode ที่เมื่อปรับใช้งานจริงแล้วก็พบว่า เข้มขรึมเอาเรื่องมากๆ ใช้งานในเวลากลางคืนได้แบบไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
แถมตัวอักษรหรือแถบสีในหน้าฟีเจอร์การใช้งานบางแอปฯ ก็ถูกปรับให้เขากับ Dark Mode อีกด้วย (ตัวอย่างชัดๆ เช่น แอปฯ Notes ที่เปลี่ยนแคนวาสจดข้อความพื้นหลังเป็นสีดำ และใช้ตัวอักษรสีขาว) นอกจากนี้หน้าตาของ Photos และการจัดแสดงภาพก็ถูกปรับให้ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนคนที่ชอบใช้งาน Siri ใน iOS 13 ก็เพิ่มแอปฯ Shortcuts ที่ทำให้เราสามารถออกแบบคำสั่งลัดให้กับ Siri ได้แล้ว
อีกความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนสุดๆ คือ หน้าตาของ App Store ที่เปลี่ยนไป และเพิ่มแถบบริการ Apple Arcade มาไว้ให้เสร็จสรรพ โดย iPhone รุ่นที่รองรับ iOS 13 ได้แก่ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max, iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone XR, iPhone X, iPhone 8, iPhone 8 Plus, iPhone 7, iPhone 7 Plus, iPhone 6s, iPhone 6s Plus, iPhone SE และ iPod touch (7th Generation ดาวน์โหลดได้วันที่ 25 กันยายน)
พร้อมกันนี้ Apple ก็ปล่อยให้ผู้ใช้งาน Apple Watch สามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการเป็น watchOS 6 ได้แล้ว ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกมารองรับการใช้งานมากมาย ทั้ง Circle Tracking ตัวติดตามข้อมูลรอบเดือนของผู้ใช้งานหญิง, Noise ตัววัดระดับเสียงและแจ้งเตือนเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ระดับเสียงเริ่มดังและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ, App Store ที่แยกมาอยู่บน Watch โดยไม่ต้องดาวน์โหลด Clone Apps แยกบน iPhone อีกต่อไป
ส่วนหน้าปัดนาฬิกาแบบใหม่ๆ ก็มีให้เลือกแบบจุใจ ทั้งหน้าปัดกราฟิก Gradient, หน้าปัดกราฟิกตัวเลขขนาดยักษ์ (Numerals), หน้าปัดแบบแคลิฟอร์เนีย (California Dial), หน้าปัด Meridian, หน้าปัด Modular Compact (เพิ่มแทบวัดระดับเสียง) และหน้าปัดแสงอาทิตย์ (Solar Face) เป็นต้น
ตรวจสอบข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ thestandard.co/wwdc-2019-ios-13/, www.apple.com/th/ios/ios-13/features/ และ www.apple.com/th/watchos/watchos-6/
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล