×

สำรวจเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดากับการที่ Apple เป็นตัวละครลับในดีลคว้า ‘เมสซี’ มาเล่นในสหรัฐฯ หลังจากนี้ ‘The Messi Effect’ จะรุนแรงแค่ไหน?

12.06.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 MIN READ
  • ภายหลังจากงาน WWDC23 ยังมี One More Thing ที่ Apple ไม่ได้เปิดตัวในงาน แต่ถือเป็นปรากฏการณ์ในโลกอีกใบอย่างโลกของเกมฟุตบอล กีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก และกับนักฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกคนปัจจุบันอย่าง ลิโอเนล เมสซี
  • MLS ใช้เงื่อนไขพิเศษที่ขอความร่วมมือกับ Apple ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของการแข่งขัน ซึ่งเซ็นสัญญาในระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี ด้วยมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยการแบ่งเงินรายได้จากค่าสมาชิกของคนที่สมัครชม MLS บนบริการ Apple TV+ ให้เมสซีด้วย
  • ภายหลังจากที่เมสซีประกาศว่าเขาจะย้ายมาอินเตอร์ ไมอามี (และสโมสรยืนยันอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา) ยอดผู้ติดตามของทีมฟุตบอลนั้นเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านคนเป็น 5 ล้านคนในระยะเวลาแค่วันเดียว!
  • สิ่งที่ MLS รวมถึง Apple ในฐานะสปอนเซอร์หลักคาดหวังมากที่สุดคือ การที่เมสซีจะช่วยเปิดประตูมิติบานใหม่ให้พวกเขา เหมือนที่ราชาลูกหนังโลกคนก่อนอย่าง เปเล่ และขวัญใจแฟนบอลตลอดกาลอย่าง เบ็คแฮม เคยทำมาก่อน

ข่าวการย้ายทีมของ ลิโอเนล เมสซี นักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดในโลกในตอนนี้ (และอาจจะตลอดกาล!) สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลก นั่นเพราะทีมใหม่ของเขาไม่ได้เป็นยักษ์ใหญ่ที่ไหน แต่เป็นทีมฟุตบอลในลีกสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า อินเตอร์ ไมอามี ซึ่งอยู่อันดับท้ายสุดของตารางคะแนนในเวลานี้

           

เพียงแต่ทีมใหม่ของเมสซีก็ไม่ได้ไก่กาขนาดนั้น เพราะนี่คือทีมฟุตบอลที่มี เดวิด เบ็คแฮม ตำนานนักเตะทีมชาติอังกฤษที่เป็นขวัญใจตลอดดกาลของคอบอลทั่วโลก เป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย

           

แต่ที่ทำให้การย้ายทีมครั้งนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นไปกว่านั้นคือ การมีตัวละครที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องด้วยเลยอย่าง Apple ที่เพิ่งจะเขย่าโลกด้วย ‘One More Thing’ ครั้งแรกในยุคของ ทิม คุก ด้วยอุปกรณ์สุดอัจฉริยะอย่าง Apple Vision Pro เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมเจรจาครั้งนี้ด้วย

      

Apple เข้ามาอยู่ในเกมนี้ได้อย่างไร? และ ‘The Messi Effect’ จะรุนแรงแค่ไหนกันนะ?

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

One More Little Thing

 

ภายหลังจากงาน WWDC23 ซึ่งนอกจากการเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่และอุปกรณ์ที่ได้รับการอัปเกรด เช่น Apple Studio, Macbook Air และ Mac Pro เหล่าสาวกทั่วโลกต่างได้ครางฮือไปกับอุปกรณ์สุดล้ำ Apple Vision Pro แว่น Mixed Reality (MR) ที่เป็นสุดยอดนวัตกรรมที่แฟนบอยรอคอยมายาวนาน (จนคิดว่าจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้จาก Apple อีกแล้ว)

           

เพียงแต่มันยังมี One More Thing (ประโยคทีเด็ดของ สตีฟ จ็อบส์ ที่เปิดตัว iPhone เมื่อปี 2007) ที่ Apple ไม่ได้เปิดตัวในงาน แต่ถือเป็นปรากฏการณ์ในโลกอีกใบอย่างโลกของเกมฟุตบอล กีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก 

           

กับนักฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกคนปัจจุบันอย่าง ลิโอเนล เมสซี

 

 

โดยสัญญาณนั้นเริ่มต้นจากข่าวเล็กๆ ว่า นักฟุตบอลผู้พาทีมชาติอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้ เมื่อช่วงปลายปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ได้ตกลงที่จะสร้างสารคดีชีวิตของเขาร่วมกับ Apple TV+ บริการสตรีมมิงของ Apple

 

สารคดีเรื่องใหม่นี้จะมีความยาวทั้งหมด 4 ตอนด้วยกัน โดยจะโฟกัสไปที่เรื่องราวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และดราม่ามากที่สุดของเมสซี ในภารกิจการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกของเขากับอาร์เจนตินา เพื่อทำให้คำทำนายที่แฟนบอลทั่วโลกรอดูว่าเขาจะเป็นทายาทของ ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา ผู้ยิ่งใหญ่ ที่แท้จริงหรือไม่

 

เชื่อกันว่าสารคดีนี้จะทำได้ดีใกล้เคียงกับ The Last Dance สุดยอดสารคดีกีฬาในเรื่องราวของ ไมเคิล จอร์แดน ตำนานนักบาสเกตบอลที่เก่งที่สุดตลอดกาล ที่สร้างปรากฏการณ์มาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน

           

Apple เชื่อว่าจะดึงดูดแฟนบอลให้มาสนใจสมัครใช้บริการ Apple TV+ มากขึ้น หลังจากที่กระแสของซีรีส์ดังอย่าง Ted Lasso ดีต่อเนื่องจนถึงซีซันที่ 3 (และเมสซีก็ได้มาร่วมปรากฏตัวในซีซันนี้ด้วย!)

 

เพียงแต่ในเวลานั้นไม่มีใครสนใจข่าวนี้เท่าไร เพราะสายข่าวฟุตบอลยังลุ้นกันว่าเมสซีจะได้ย้ายกลับบาร์เซโลนาไหม หรือจะไปคว้าเงินระดับ ‘พันล้าน’ ด้วยการไปเล่นในลีกฟุตบอลของซาอุดีอาระเบีย ตามรอย คริสเตียโน โรนัลโด คู่ปรับฟ้าประทานของเขา

           

นั่นทำให้ข้อความปริศนาที่ Apple TV ทวีตขึ้นมาว่า

           

Barcelona

Paris Saint-Germain

Argentina

Apple TV+

           

ไม่ได้อยู่ในความสนใจของใครสักเท่าไร ทั้งๆ ที่มันมีความหมายมากมายซ่อนอยู่ในนั้น

 

การผนึกกำลังกันเพื่อเมสซี

 

ความผิดหวังของฝั่งเมสซีที่มีต่อท่าทีของทีมเก่าอย่างบาร์เซโลนาปิดไม่มิด

           

เพราะแม้จะพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อขอโอกาสในการกลับคืนรังเก่า และได้บอกลาแฟนๆ เหมือนอย่างตำนานนักเตะทุกคนของสโมสร ซึ่งเป็นปมเดียวที่ติดค้างในใจของซูเปอร์สตาร์ลูกหนังวัย 35 กะรัต แต่สุดท้ายบาร์เซโลนาก็ไม่ได้แสดงความจริงใจมากพอว่าจะทำให้เขากลับมาได้จริงๆ

 

นั่นหมายถึงเมสซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการหาที่หมายใหม่ ซึ่งจากเดิมที่เชื่อกันว่า เขาคงจะยอมรับข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้จากซาอุดีอาระเบีย ที่ต้องการให้เขาไปเป็นหนึ่งในขุมกำลังนักเตะซูเปอร์สตาร์ระดับโลก เพื่อสร้างภาพใหม่ให้กับลีกฟุตบอลภายในประเทศ ร่วมกับโรนัลโด, คาริม เบนเซมา นักฟุตบอลเจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมยุโรป (บัลลงดอร์ หรือลูกบอลทองคำ) คนล่าสุด และ เอ็นโกโล ก็องเต กองกลางดีกรีแชมป์โลกกับทีมชาติฝรั่งเศส

           

ปรากฏว่าเมสซีปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว และประกาศการตัดสินใจด้วยตัวเองว่า เขาขอเลือกที่จะย้ายมาอินเตอร์ ไมอามี ทีมฟุตบอล (ที่จริงๆ ในสหรัฐฯ จะเรียกว่าแฟรนไชส์) ที่ก่อตั้งมาไม่กี่ปี และยังไม่มีแม้แต่สนามเป็นของตัวเอง ที่สำคัญผลงานตอนนี้คือ ทีมบ๊วยของเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ (MLS) สายตะวันออก

           

ยิ่งคิดถึงรายได้ที่จะได้รับจากอินเตอร์ ไมอามีนั้น น้อยกว่าซาอุดีอาระเบียแบบเทียบกันไม่ได้ ทำไมเมสซียอมมา? แล้วคนเจรจาเขาทำกันอย่างไร?

           

เรื่องนี้มีความสลับซับซ้อนนิดหน่อย เพราะไม่ได้เป็นเรื่องระหว่างทีมฟุตบอลกับนักฟุตบอล หากแต่มีฝ่ายจัดการแข่งขันอย่าง MLS และสปอนเซอร์หลักอย่าง Apple เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

           

 

ประเด็นคือ อินเตอร์ ไมอามีถึงจะเป็นทีมที่เมสซีให้ความสนใจมานานแล้ว เพราะตัวเองมีบ้านอยู่ที่นี่ และมีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่นี่ด้วย แต่การจะได้ตัวซูเปอร์สตาร์ระดับสุดขอบจักรวาลแบบนี้มาร่วมทีม ลำพังแค่นี้ (หรือจะบอกว่าเป็นทีมของเบ็คแฮม) มันไม่พอ

 

มันต้องการพลังที่มากกว่านี้

 

Win-Win-Win-Win

 

เพราะเมสซีไม่ได้มีความสำคัญแค่กับอินเตอร์ ไมอามี เมสซียิ่งใหญ่กว่านั้น และการมาของเมสซีจะเป็นการปลุกวงการฟุตบอลอเมริกันในระดับสะเทือนจักรวาลเลยทีเดียว

           

ตรงนี้เองที่ทำให้ MLS ในฐานะผู้จัดและดูแลการแข่งขันเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งนอกจากการช่วยเปิดทางให้อินเตอร์ ไมอามีเซ็นสัญญากับเมสซีได้แล้ว พวกเขายังมีส่วนช่วยให้การเจรจาราบรื่นขึ้นด้วยข้อเสนอพิเศษ

 

โดยทาง MLS ใช้เงื่อนไขพิเศษที่ขอความร่วมมือกับ Apple ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของการแข่งขัน ซึ่งเซ็นสัญญาในระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี ด้วยมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการแบ่งเงินรายได้จากค่าสมาชิกของคนที่สมัครชม MLS บนบริการ Apple TV+ ให้เมสซีด้วย

   

สมมติแบ่งให้ 1 ดอลลาร์ต่อเดือนต่อผู้สมัครบริการ 1 คน ถ้ามีผู้สมัคร 1 ล้านคน เมสซีจะได้รับเงินส่วนแบ่งเพิ่มจากตรงนี้ 1 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน

           

Apple เองไม่ติดขัดอะไรกับเรื่องนี้ เพราะพวกเขาเข้ามาสนับสนุน MLS เพื่อหวังต่อยอดบริการ Apple TV+ ที่ยังไม่ติดตลาดและห่างไกลจาก Disney+, Netflix และ HBO GO อยู่ โดยเดิมก็หวังว่าจะสามารถขยายตลาดไปสู่กลุ่มคนรักกีฬาได้ด้วย

 

 

เพียงแต่ปัญหาที่ผ่านมาคือ ลีก MLS ในปัจจุบันไม่มีนักฟุตบอลระดับแม่เหล็กเหมือนลีกอื่นเขา

           

ดังนั้น เมื่อมีโอกาสที่จะช่วยให้ได้ตัวนักเตะระดับสุดยอดแม่เหล็กของโลกอย่างเมสซีมาเล่นใน MLS ก็หมายถึงโอกาสที่จะมีคนสนใจในบริการ Apple TV+ มากขึ้น และ MLS ก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้น ขยายวงกว้างไปสู่แฟนบอลทั่วโลกมากขึ้น ซึ่งหมายถึง Exposure ที่เชื่อว่าจะมีมูลค่ามากมายมหาศาล

 

โดยที่ Apple พร้อมจะทำคอนเทนต์เกี่ยวกับเมสซีเพิ่มเติมตลอดระยะเวลาที่เขาอยู่กับอินเตอร์ ไมอามี ที่จะออกอากาศทาง Apple TV+ อย่างแน่นอน สำหรับคนที่สมัคร MLS Season Pass holders สำหรับการรับชมทั้งปี เรียกได้ว่าบางทีอาจจะคุ้มกว่าเงินที่เสียไปก็ได้

  

เรียกได้ว่างานนี้ Win กันทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเมสซี ซึ่งได้ทีมใหม่ที่เขาพอใจ ในสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ บ้านเมืองสวยงาม (ภรรยาชอบ… ว่างั้น!), อินเตอร์ ไมอามี ที่ได้เมสซีมาช่วยทีม, MLS ที่ได้จุดกระแสความนิยมของลีกไปทั่วโลก และ Apple ที่ได้ขายของไปแบบเนียนๆ (adidas เองก็แบ่งเปอร์เซ็นต์จากยอดขายเสื้อทีมใน MLS ให้เมสซีด้วยเหมือนกัน)

 

The Messi Effect

 

แล้วคำถามต่อมาคือ นักฟุตบอลใกล้ปลดระวางแบบเมสซีจะช่วยจุดกระแสได้แค่ไหนกันเชียว?

 

อย่างแรกก็แค่ค่าตั๋วเข้าชมเกมของอินเตอร์ ไมอามี ในเกมที่คาดว่าจะเป็นการลงสนามนัดแรกของเขาราคาแพงขึ้น 1,000 เปอร์เซ็นต์แค่นั้นเอง (เมสซียักไหล่)

           

โดยก่อนหน้านี้ราคาของตั๋วเข้าชมเกมฟุตบอลรายการลีกคัพ ระหว่างอินเตอร์ ไมอามี กับครูซ อาซูล ในวันที่ 21 กรกฎาคม ราคาถูกสุดอยู่ที่ 29 ดอลลาร์ แต่ตอนนี้ราคาในตลาดรีเซลพุ่งทะยานไปถึง 459 ดอลลาร์แล้ว ตามข้อมูลจากผู้ให้บริการ TickPick

 

ขณะที่ตั๋วเข้าชมเกมในสนาม Fort Lauderdale รังเหย้าที่อินเตอร์ ไมอามีขอเช่ามาใช้ชั่วคราวระหว่างเสนอสร้างสนามของตัวเอง ซึ่งสนามแห่งนี้มีความจุแค่ 18,000 ที่นั่ง ในเกมที่คาดว่าเมสซีจะลงสนามเป็นเกมแรกในบ้าน นัดพบกับนิวยอร์ก เรดบูลส์ ในวันที่ 26 สิงหาคมนั้น ตอนนี้ราคาขึ้นจาก 30 ดอลลาร์เป็น 512 ดอลลาร์แล้ว

           

ส่วนภาพรวมราคาตั๋วเกมเหย้าของอินเตอร์ ไมอามี เฉลี่ยจาก 152 ดอลลาร์ในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล ตอนนี้ทะยานไป 935 ดอลลาร์ ขึ้นไปกว่า 515 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ตามข้อมูลจาก TicketIQ

           

ไปที่ Instagram บ้าง ภายหลังจากที่เมสซีประกาศว่าเขาจะย้ายมาอินเตอร์ ไมอามี (และสโมสรยืนยันอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา) ยอดผู้ติดตามของทีมฟุตบอลเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านคนเป็น 5 ล้านคน ในระยะเวลาแค่วันเดียว!

  

นี่ยังไม่ได้รวมรายงานยอดจำหน่ายเสื้อและสินค้าของเมสซีที่คาดว่าจะทำเงินรายได้มากมายมหาศาลให้กับอินเตอร์ ไมอามี (และ adidas ในฐานะสปอนเซอร์ทีมทุกทีมใน MLS และเป็นสปอนเซอร์หลักของเมสซีด้วย)

           

นี่คือพลานุภาพของสุดยอดนักเตะฟ้าประทานที่ชื่อเมสซี

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ MLS รวมถึง Apple ในฐานะสปอนเซอร์หลักคาดหวังมากที่สุดคือ การที่เมสซีจะช่วยเปิดประตูมิติบานใหม่ให้พวกเขา เหมือนที่ราชาลูกหนังโลกคนก่อนอย่าง เปเล่ และขวัญใจแฟนบอลตลอดกาลอย่าง เบ็คแฮม เคยทำมาก่อน

 

เปเล่ นับเป็นผู้บุกเบิกให้กับวงการฟุตบอลในสหรัฐฯ ดินแดนที่พวกเขาไม่ได้เรียกฟุตบอลว่าฟุตบอล แต่เรียกว่า “ซอกเกอร์” (Soccer) เมื่อย้ายมาอยู่กับนิวยอร์ก คอสมอส ในช่วง 3 ปีสุดท้ายก่อนจะเลิกเล่นฟุตบอล ซึ่งจุดกระแสความตื่นตัวให้ชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก

 

แม้ลีกฟุตบอล ‘นอร์ธ อเมริกัน ซอกเกอร์ ลีก’ จะล่มสลายภายหลังจากนั้นไม่นาน แต่เมล็ดพันธุ์ความคลั่งไคล้ที่เปเล่ปลูกไว้ให้ ก็เติบโตจนกลายเป็นนักฟุตบอลสหรัฐฯ รุ่นใหม่ พวกเขาเคยได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 1994 และเปิดตัวลีกใหม่ MLS ในเวลาต่อมา

 

           

ส่วนเบ็คแฮมที่ย้ายมาแบบช็อกโลกในปี 2007 เพราะขณะนั้นอยู่กับ เรอัล มาดริด สโมสรที่ดีที่สุดของโลก และยังมีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยมอยู่ ก็ช่วยต่อยอดความสำเร็จไปอีกขั้น เสื้อทีมแอลเอ กาแล็คซีของเขาทำยอดขายได้ถึง 3 แสนตัว มากกว่ายอดขายของทั้งทีมในปี 2006 ถึง 700 เท่า ขณะที่ MLS ขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดได้มากกว่า 100 ประเทศทั่วโลกที่อยากดูเบ็คแฮมลงเล่น

 

ความสำเร็จนั้นเป็นฐานรากต่อมาให้ MLS แข็งแกร่งขึ้น ปัจจุบันจำนวนทีมเพิ่มจาก 13 ทีมในยุคของเบ็คแฮม เป็น 29 ทีมในปัจจุบัน และกำลังจะมีทีมที่ 30 ในซานดิเอโก และทุกอย่างจะไปไกลยิ่งกว่าเดิมอีกเมื่อมีเมสซีเข้ามา

 

นอกจากคุณค่าในเรื่องของแรงบันดาลใจและกีฬาสร้างชาติแล้ว เงินมากมายมหาศาลจะไหลเวียนเข้ามาในระบบด้วย

           

เมื่อครั้งเมสซีย้ายไปปารีส แซงต์ แชร์กแมง สโมสรฟุตบอลดังของฝรั่งเศส เขาทำให้ทีมได้สปอนเซอร์เพิ่มมากถึง 10 รายด้วยกัน แต่ละรายจ่ายเงินที่ 3-8 ล้านยูโร ลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์และการจำหน่ายสินค้าในวันแข่งขันพุ่งทะยานไปจักรวาล Diario Olé ในอาร์เจนตินา เปิดเผยว่า เสื้อบอลของเมสซีคิดเป็นยอดขาย 60 เปอร์เซ็นต์ของทีม และมีแค่เรอัล มาดริดทีมเดียวที่มียอดขายเสื้อมากกว่า

           

เมสซีมีจำนวนผู้ติดตามบน Instagram มากถึง 468 คน ทิ้งห่าง 2 สุดยอดนักกีฬาระดับ GOAT ของสหรัฐฯ อย่าง เลอบรอน เจมส์ และ ทอม เบรดี้ ที่มีผู้ติดตาม 154 และ 14 ล้านคน แบบคนละโลก

           

ตัวเขาเองอาจจะเป็นเจ้าของทีมใน MLS เหมือนที่เบ็คแฮมได้สิทธิในตอนเซ็นสัญญา ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในเจ้าของแฟรนไชส์ฟุตบอลในปัจจุบัน แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต

    

ตอนนี้เมสซีกำลังเขย่าสหรัฐฯ อย่างรุนแรง โลกทั้งใบกำลังจับตามาที่นี่

           

โดยคนที่ยิ้มอยู่ไกลๆ นอกจากเบ็คแฮม และ MLS แล้ว ก็คือ Apple (และ adidas) ที่ตอนนี้กำลังคิดในหัวอย่างสนุกว่า พวกเขาจะนำเมสซีมาใช้ประโยชน์อย่างไรให้คุ้มเกินคุ้ม 

           

สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนคือ… นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น

           

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X