วันนี้ (24 พฤศจิกายน) เวลา 21.00 น. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Dinner Talk ภายใต้หัวข้อ ‘Thailand: The Next 4 Years’ โดยมี พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง คมนาคม และเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาว่า ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่มาร่วมงานในวันนี้สายไปพอสมควร วันนี้ตั้งแต่เช้าก็มีภารกิจต่อเนื่องมาโดยตลอด และมีเหตุการณ์ที่ใช้เวลาเยอะ คือเหตุการณ์อุทกภัยน้ำท่วมที่ภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ถึงแม้ว่าตนจะลงไปดูสถานการณ์และไปสั่งการถึง 2 วันติดต่อกัน แต่ฟ้าก็ไม่เป็นใจ เพราะหลังจากเรากลับมา ปรากฏว่ามีมวลน้ำอีกระลอกหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้คาดฝันว่าจะมีจำนวนมหาศาลขนาดนี้เข้ามาในอำเภอหาดใหญ่
นอกจากเป็นน้ำที่มาจากนอกพื้นที่แล้ว ยังมีปริมาณฝนที่ตกไม่หยุด และเป็นการตกที่ค่อนข้างหนักตลอดทั้งวันทั้งคืน รับทราบมาว่าเป็นวิกฤตในรอบ 15 ปี ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สูงสุด อย่างไรก็ตาม ตนก็ได้สั่งการและมอบหมายให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้ที่รับผิดชอบในสถานการณ์ต่างๆ ได้อยู่ในพื้นที่และอำนวยการรักษาสถานการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การช่วยเหลือต่างๆ มีความพร้อมแล้ว
ตอนนี้เราสู้กับธรรมชาติ แต่ในเรื่องของการดูแลให้ความช่วยเหลือกับประชาชน เรามีการเตรียมตัวโดยระดมหน่วยงานทุกหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน ถือเป็นครั้งแรก เหตุการณ์ที่หาดใหญ่ทำให้เราต้องมานั่งคิดว่าแค่ข้ามคืนเดียวเมื่อมีอุบัติภัย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องน้ำ ถ้ามันตัดไฟ ตัดน้ำ ตัดการเดินทางทุกโหมด
สิ่งที่มันเกิดขึ้นภายในไม่ถึง 10 ชั่วโมง เมืองหาดใหญ่กลายเป็นเมืองที่ไม่สามารถหาทรัพยากรอะไรได้เลย อาหารไม่มี วัตถุดิบไม่มี เราจะต้องให้ความสำคัญในการวางแผนรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก โดยเฉพาะเมืองที่มีสภาพเศรษฐกิจเติบโตอย่างเมืองหาดใหญ่
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า วันนี้ตนยังไม่ทันได้หายใจ มาถึงก็ถูกเรียกขึ้นมาทันที และให้มาพบปะกับเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนในห้องนี้ ภายใต้หัวข้อเรื่อง THAILAND THE NEXT 4 YEARS ประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไรก็ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งที่จะมาถึงว่าใครจะได้มาเป็นผู้นำ เพราะผู้นำแต่ละคนมีวิธีการขับเคลื่อน วิธีการตั้งนโยบายให้กับประเทศไปคนละแนวทาง ภาพจบอาจจะไม่ตรงกัน
ฉะนั้นวันนี้ตนจะต้องตั้งต้นจากการพูดให้ชัดว่าประเทศไทย 4 ปีต่อจากนี้ ในมุมมองของตน บนเงื่อนไขที่ว่าถ้าเป็น 4 ปีที่ยังมีตนเป็นนายกฯ อยู่ 4 ปีข้างหน้าสำหรับประเทศไทย ถ้าไม่ปังก็พัง เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า PANG แล้วแต่ว่าเราจะอ่านว่าปังหรือพัง เพราะเป็น 4 ปีที่เราเปลี่ยนแปลงด้วยความรวดเร็ว
ถ้ายืนอยู่ผิดที่ หรือเดินช้า อาจจะพบกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งการที่ตนพูดว่ายืนผิดที่ คือในเชิงภูมิศาสตร์ การยืนคือการไปอิงแอบกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมากเกินไป หรือแม้แต่การกระโดดไปกระโดดมาตามกระแส แต่การยืนถูกที่คือการยืนให้เด่น ยืนให้โลกรู้ว่าคุณค่าของประเทศไทยอยู่ตรงไหน
การทำงานของตน บางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องเดินทางสายกลาง โดยที่เราต้องมีดีในตัวเองมากพอสมควร แต่ถ้าเรากระโดดไปกระโดดมา นึกสภาพว่าถ้าเราไม่มีความมั่นคงด้านไหนเลย และพยายามกระโดดไปกระโดดมาตรงไหนได้เปรียบไปไหนไปด้วย ช่วย 2 บาท คนที่กระโดดก่อน คนที่เหนื่อยที่สุดคือเรา เพราะเรามัวแต่กระโดดไปกระโดดมา
แต่ถ้าเราไปอิงกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป ภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศไทยก็อาจจะยังไม่ใช่ และไม่ได้เอื้ออำนวยให้เราสามารถอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ แต่เราต้องหาจุดแข็งของเราในการที่เราจะดีลกับประเทศต่างๆ ในโลกนี้ โดยที่เขาต้องให้ความสนใจต่อเรา ซึ่งเราทำได้และทำมาโดยสม่ำเสมอ
4 ปีข้างหน้า ปัญหาไทย-กัมพูชาต้องจบได้แล้ว ความขัดแย้งไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น เราทำให้สถานการณ์กลับมาในทางที่ควรจะเป็น วันนี้มีความชัดเจนแล้วว่าถ้าทั้ง 2 ผู้นำสองประเทศชัดเจนแล้วว่าถ้าปักหมุดไม่จบ ปัญหาก็ไม่จบ เราจึงพร้อมใจกันกลับมาแก้ปัญหาที่ต้นตอ และโฟกัสกันที่สาเหตุ
เมื่อกระบวนการถูกต้อง พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ มันก็เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และเราก็จะได้ไม่ต้องทิ้งปัญหาเหล่านี้ให้เป็นภาระของลูกหลานของเราต่อไป หรือเป็นภาระของเราเองในอนาคตอันใกล้
ฉะนั้น 4 ปีข้างหน้า ตนตั้งเป้าไว้ว่าความสัมพันธ์ของไทยกับเพื่อนบ้านทุกประเทศ ถ้าเราดำเนินนโยบายการต่างประเทศของเราเช่นนี้ จะต้องเป็นไปในทางบวกอย่างแน่นอน เราจะไม่เก็บปัญหาเหล่านี้ไว้บั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของประเทศของเราอีกต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทุกคนทราบดีว่าเสถียรภาพทางการเมืองคือเงื่อนไขแรกของสภาพเศรษฐกิจ ปีหน้ามีเลือกตั้งแน่นอน ยิ่งกว่าแน่นอน เพราะคนเสนอยุบสภายืนอยู่ตรงนี้ และมันก็ต้องยุบ เพราะเราให้สัญญากับ MOA กับพรรคประชาชนว่า จะยุบสภาไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2569 แค่นี้หลายคนยังทนไม่ได้เลย อยากจะให้ยุบเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็พร้อม เพราะเรายังมีความท้าทายอีกมากมาย ที่บางครั้งมันไปด้วยรถคันนี้ไม่ได้ เราก็ต้องคืนอำนาจให้กับประชาชนให้เขาตัดสินใจว่าจะให้ประเทศไทยเดินหน้าไปอย่างไร
แต่ถ้าเกิดยุบสภาก่อนวันที่ 31 มกราคม 2569 สิ่งที่เกิดขึ้นหลายๆ อย่างจะไม่ได้ทำ ที่มันสามารถทำได้ในยุคที่ตนเป็นหัวหน้ารัฐบาล สิ่งที่เราได้เตรียมไว้ที่สำคัญที่สุดสำหรับประเทศในระยะยาว คือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งตนก็ต้องพยายามทำให้มันได้ เพราะพรรคประชาชนยอมให้เป็นนายกฯ ยอมให้ตนมาเป็นนายกฯ เพื่อที่จะมาร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญในการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ซึ่งเราก็หวังว่าถ้าเราสามารถเดินไปในทางแนวนี้ได้ ประเทศไทยจะมีโครงสร้างอำนาจที่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่มีมาตรฐาน จะไม่มีใครมานั่งเถียงว่ารัฐธรรมนูญนี้ดีหรือไม่ดี มาจากรัฐประหารหรือมาจากอะไรก็แล้วแต่
ตอนนี้เราเอาทุกอย่างมารวมกันและมาช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา ซึ่งถ้าทำได้ ไม่ต้องยุบสภาก่อน เราก็จะเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ ที่จะมีวาระ 1 วาระ 2 และวาระ 3 ถ้าไม่ต้องยุบสภาเสียก่อน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 วาระ 3 จะเรียบร้อย ก็เหลือไปตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา ใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้ายุบสภาก่อน เรื่องของการรัฐธรรมนูญก็จะไม่มีอีกแล้ว ก็จะต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปจนกว่าจะมีกลไกทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้สิ้นสุดไป ก็ไม่น่าจะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในอนาคตของประเทศไทย


