วันนี้ (19 ธันวาคม) ที่พรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้คุยโทรศัพท์กับสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า เมื่อเช้าที่ผ่านมาสีหศักดิ์ได้รายงานมาว่า ได้โทรศัพท์หารือกับมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของสหรัฐฯ และเห็นว่ากำลังจะมีการพูดคุยกับทูตพิเศษจีนด้วย
ทั้งนี้ สีหศักดิ์บอกว่าจะรับมือเอง และจะรายงานให้ทราบ ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี โดยไทยได้อธิบายถึงเหตุผล ถึงการดำเนินการที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และยืนยันด้วยว่า ไทยไม่เคยเป็นฝ่ายรุกราน ซึ่งหากการหารือ บอกว่าให้มีการหยุดยิง ก็ต้องไปบอกฝ่ายกัมพูชาที่เป็นฝ่ายเริ่มให้ดำเนินการที่เป็นรูปธรรม จนกว่าจะทำให้ฝ่ายไทยรู้สึกว่า ความเป็นอันตรายต่อประเทศไทยนั้นหมดไป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ขณะนี้มหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ ยังไม่มีท่าทีกดดันไทยเข้าสู่โต๊ะเจรจาใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คำว่ากดดันหมายความว่าคุณต้องไปทำอะไรผิดก่อน หรือไม่เข้าท่า หรือทำไปแล้วคนอื่นเดือดร้อน เอาเปรียบคนอื่นก่อน ถึงต้องใช้คำว่ากดดัน แต่ประเทศไทยไม่ได้อยู่บริบทที่จะใช้คำว่ากดดันเลย ย้ำว่า ความกดดัน ต้องไปอยู่กับประเทศผู้รุกราน และผู้ที่ละเมิดสัญญา
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ผู้สื่อข่าวต้องช่วยย้ำ ไทยและกัมพูชามีสัญญาร่วมกันไว้คือ 1. การถอนอาวุธ 2. การถอนทุ่นระเบิด 3. การปราบสแกมเมอร์ 4. การบริหารจัดการพื้นที่เขตแดนบริเวณบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว
ทั้ง 4 ข้อนี้ประเทศไทยทำครบ แม้ขณะนี้จะมีการสู้รบกันอยู่ ประเทศไทยก็ยังดำเนินการตาม 4 ข้อตกลงนี้อย่างเต็มที่ ยกเว้นข้อ 1. ที่เราไม่สามารถถอนได้เพราะถูกกลั่นแกล้ง โจมตี และคุกคามอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าหากใครมาบอกว่า ประเทศไทยต้องกลับไปยึดถือปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ซึ่งไทยอยู่ในนั้นอยู่แล้ว แล้วเราจะกลับไปไหน เราไม่เคยออกไปเลย ต้องบอกให้กัมพูชากลับไปทำตาม ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ แต่วันนี้ก็ต้องมีการเพิ่มเงื่อนไขเข้ามา เช่น การถอนกำลัง การถอนอาวุธ ต้องเป็นที่ไว้วางใจและพึงพอใจจากไทย ว่าไม่เป็นอันตรายต่อไทย และคนที่ละเมิดต้องแสดงท่าที ที่ต้องถูกกำหนดมากหน่อย


