×

อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลงแคมเปญ ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือกภูมิใจไทย ไม่มีเทา

โดย THE STANDARD TEAM
24.12.2025
  • LOADING...
อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา

วันนี้ (24 ธันวาคม) ที่โรงละครอักษรา คิงพาวเวอร์ พรรคภูมิใจไทยจัดการประชุมพรรค และแถลงนโยบายในการเลือกตั้ง นำโดย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมแกนนำพรรค เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ, ศุภจี สุธรรมพันธุ์, สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว, ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ และไชยชนก ชิดชอบ ร่วมกันนำเสนอนโยบาย ต่อว่าที่ผู้สมัคร สส.ทั้ง 500 คน

 

อนุทิน กล่าวว่า วันนี้มาเร็วกว่าที่คาดคิด ก่อนหน้านี้ตนมีความกังวลระดับหนึ่ง แต่วันนี้ความกังวลเปลี่ยนแปลงเป็นความมั่นใจ และวันนี้พรรคมีความมั่นใจ มีความพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้งเพื่อรับใช้ประเทศ และประชาชน การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญที่สุดตั้งแต่มีพรรคภูมิใจไทยมา เพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเรารู้สึกได้ว่า ประชาชนชาวไทยตั้งความคาดหวังไว้สูงกับการทำงานของพรรค เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากความพร้อมสูงสุดในทุกๆด้าน ทั้งด้านบุคลากร นโยบาย และยุทธศาสตร์ ที่ต้องยกระดับเพิ่มขึ้น เป็นที่มาของสโลแกน ‘ภูมิใจไทยพูดแล้วทำพลัส’

 

อนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยวันนี้มีประสบการณ์การครบถ้วนทุกรูปแบบ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วไม่ใช่เด็กละอ่อนอีกต่อไป เราผ่านประสบการณ์บริหารทุกด้านมาแล้วเราสามารถทำให้ประเทศไทยมีที่ยืนทุกมิติบนเวทีโลก พรรคภูมิใจไทยกล้าเสนอคำว่าพูดแล้วทำพลัส เพราะวันนี้พรรคมีความพร้อมสูงสุดทุกด้าน จึงสามารถพูดสิ่งทีใหญ่กว่าเดิม ครบกว่าเดิม ทำได้จริง และทำได้เลย ด้วยศักยภาพของบุคลากรวันนี้ที่มาอยู่กับพรรค

 

อนุทิน กล่าวว่า ภัยของประเทศในวันนี้ หลักๆ มี 4 ด้าน ที่เป็นภัยคุกคามประเทศทั้งเศรษฐกิจ สังคม ภัยพิบัติ และภัยความมั่นคง คนไทยในปัจุจุบันเกิดความกลัวสารพัด แต่สิ่งที่ตนไม่อยากให้คนไทยต้องกังวลเลย คืออย่ากลัวเสียอธิปไตยของประเทศ พรรคภูมิใจไทยจะทำให้ความหวาดระแวง ความกลัวของท่าน เปลี่ยนมาเป็นความมั่นคง มั่งคั่ง และเชื่อมั่น

 

สำหรับภัยความมั่นคง ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย ทำงานอย่างหนักในการแก้ปัญหาชายแดน ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนโดยเฉพาะกองทัพที่ให้ความเชื่อมั่นในรัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำ ทำให้ประเทศปลอดจากภัยคุกคาม เสริมสร้างศักยภาพกองทัพให้เข้มแข็ง เราต้องทำให้ประเทศไทยเป็นที่ยำเกรงของคนที่ประสงค์ร้ายต่อประเทศ เราจะทำต่อไปให้มีความแข็วแกร่งมั่นคงยิ่งขึ้น คนที่คิดว่าจะทำอะไรประเทศไทยหรือเราต้องยอมทุกอย่าง ต้องกลับไปพลิกตำราใหม่

 

จากนี้ไทยจะมีความแข็งแกร่งโดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง พรรคสร้างรั้วแน่นอน แต่เป็นรั้วของชาติ สร้างความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตประชาชนทุกคน เราจะสร้างรั้วของชาติที่ป้องกันภัยทุกมิติ ทั้งการทหาร ภัยสงคราม ภัยยาเสพติด ภัยการลักลอบขนของเถื่อน การลักลอบนำเข้าพืชผทางการเกษตร และแรงงานเถื่อน นอกจากนี้ เราจะสร้างความแข็งแกร่งให้ประเทศสามารถป้องกันอาชญากรรมต่างๆได้ทั้งสแกมเมอร์ การพนัน ทุนเทา เพื่อให้ประชาชนจำว่าพรรคภูมิใจไทยไม่เอาเรื่องพวกนี้ไม่เอาสีเทาทั้งหมด เราจะสร้างรั้วปกป้องประเทศจากสิ่งเหล่านี้

 

อนุทิน กล่าวด้วยว่า พรรคภูมิใจไทยจะเปิดโอกาสทหารอาสาเพื่อรับใช้ชาติอย่างสมัครใจ และมีอนาคต เราจะเปลี่ยนคำว่าทหารเกณฑ์เป็นคำว่าทหารอาสา เพื่อจะได้มีทหารที่ตั้งใจเต็มใจเข้ามาปกป้องอธิปไตยดินแดนของเรา โดยจะเปิดรับสมัครทหารอาสา 1 แสนคน ให้พวกเขาได้รับราชการเป็นทหาร 4 ปี เงินเดือน 12,000 หมื่นบาท จะทำให้ประเทศมีกำลังพลที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องแผ่นดิน

 

ส่วนด้านเศรษฐกิจ 2-3 เดือน ที่ผ่านมาเรามีโยบายควิกบิ๊กวิน มาให้ประชาชน ทำโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ยังติดประชาชนอยู่คนละ 2,400 บาท ขอให้ตนได้มีโอกาสกลับมาชำระหนี้ให้ แน่นอนว่าโครงการนี้จะกลับมาแบบไม่ธรรมดา เพราะมีคำว่าพลัสกลับไปด้วย รวมถึงจะทำให้สินค้าที่ประทับตราเมดอินไทยแลนด์ เป็นสินค้าที่ทรงพลังที่ทั่วโลกต้องการ

 

ที่ผ่านมาเราทำให้เห็นแล้วว่า เราเป็นฝ่ายตรงข้ามอาชญากรรมทางเทคโนโยลี ผู้ค้ายาเสพติด ปราบสแกมเมอร์ เพื่อดูแลประชาชนไม่ใช่แค่คนไทย เพราะเรื่องนี้เป็นภัยคุกคามทั่วโลก 3 เดือนที่ผ่านมา เราได้แสดงผลงานได้เป็นที่ประจักษ์ เศรฐกิจดีขึ้น ราคาข้าว มันสำปะหลัง มีราคาสูงขึ้น เราได้นำประเทศไทยกลับคืนสู่เวทีโลก รักษาเกียรติภูมิของประเทศ ถ้าประชาชนให้โอกาส ให้เวลามากกว่านี้พรรคภูมิใจไทยจะทำได้ดีกว่านี้

 

อนุทิน กล่าวว่า ตนขอพิสูจน์ว่าพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะตนเดินไปไหนหูได้ยินเสียงประชาชนเสมอ ขอให้เลือกพรรคภูมิใจไทยกลับมา ท่านได้ตนเป็นนายกฯ ถ้าเลือกพรรคภูมิใจไทยกลับมา ตนจะให้สีหศักดื์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศ ศุภจีจะไม่เพียงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่จะเป็นรองนายกฯกำกับการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการค้า เอกนิติ จะยังเป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุมการคลังของแผ่นดิน ดูวินัยการเงินการคลัง ดูค่าเงินบาท นโยบายทางเศรษฐกิจ

 

สิ่งเหล่านี้พรรคภูมิใจไทยไม่เคยมีมาก่อน แต่วันนี้มีแล้วจะทำงานครอบคลุม ถ้าทำไม่ได้พรรคภูมิใจไทยไม่พูด เมื่อก่อนมีข้อจำกัดแต่วันนี้ไม่มีข้อจำกัดแล้ว นอกเหนือจาก 3 คนที่กล่าวมา ยังมีคนที่มีความรู้ความสามารถที่ตนเชิญเข้ามา แม้จะมาจากส่วนอื่นในรัฐบาลที่แล้ว แต่วันนี้ตนไปขอให้มาร่วมงานกับภูมิใจไทย เพื่อประเทศไทย

 

จากนั้น สีหศักดิ์ ขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์ในงานแถลงนโยบายหาเสียงในด้านการต่างประเทศเลือกตั้ง ปี 2569 ของพรรคภูมิใจไทยว่า ตอนที่ได้รับการทาบทามให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นเรื่องที่คิดหนัก เพราะไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมารับตำแหน่งมีวิกฤติข้างหน้ารอคอยอยู่แล้ว การที่รับหน้าที่นี้อยากทำงาน เพราะมีความเชื่อว่าการต่างประเทศที่เข้มแข็งจะนำพาเราพ้นวิกฤต นำพาเราไปสู่ความมั่นคงที่ยิ่งขึ้น และจะนำพาความกินดีอยู่ดีความก้าวหน้ามาสู่ประชาชนชาวไทยด้วยเหตุนี้จึงรับหน้าที่นี้

 

วันนี้มารับหน้าที่เข้าเดือนที่ 4 ก็ต้องเจอวิกฤตความสัมพันธ์กับกัมพูชา ตนคิดว่ามาถูกทางแล้วเพราะมีผู้นำที่เข้มแข็ง และมีเอกภาพระหว่างทหารกับฝ่ายการทูตเราทำงานร่วมกันและพูดเป็นเสียงเดียวกัน ไทยมีเอกภาพในการปกป้องคุ้มครองอธิปไตยของไทยศักดิ์ศรีของประเทศไทย แน่นอนว่าไทยพร้อมที่จะเปิดประตูสำหรับการพูดคุยเจรจาเพราะความขัดแย้งต้องจบที่การเจรจาพูดคุย แต่การเจรจานั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายมีความพร้อมและความจริงใจ ซึ่งไทยรอคอยอยู่

 

อีก 4 ปีข้างหน้าหวังว่าไทยจะก้าวพ้นความขัดแย้งในปัจจุบัน และการต่างประเทศในอีกสี่ปีข้างหน้าจะสร้างโอกาสให้กับประเทศไทยและสร้างโอกาสให้กับประชาชนชาวไทย ทำให้ไทยกลับมาสู่แนวหน้าของประชาคมโลก ทำให้ไทยมีบทบาทนำในเวทีระหว่างประเทศและอยู่ในเวทีอย่างมีเกียรติภูมิและมีศักดิ์ศรี

 

สีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า หัวใจสำคัญของการดำเนินนโยบายต่างประเทศคือการบริหารความสมดุลระหว่างการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และยุทธศาสตร์ระยะยาว โดยในระยะสั้น ไทยจำเป็นต้องก้าวพ้นความขัดแย้งกับกัมพูชา และมีบทบาทเชิงรุกในการส่งเสริมเสถียรภาพในเมียนมา เพื่อคืนสันติภาพให้ภูมิภาค

 

เราต้องการเห็นชายแดนที่มั่นคงและเชื่อมโยงกัน เป็นชายแดนที่ปราศจากอาชญากรรม โดยเฉพาะยาเสพติดและขบวนการคอลเซ็นเตอร์ หากเพื่อนบ้านก้าวหน้าและมีสันติภาพ ก็จะเป็นโอกาสให้ไทยได้ขยายการค้าและการลงทุน

 

ในส่วนของยุทธศาสตร์ระยะยาว สีหศักดิ์ มองว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะไร้ระเบียบ จากการแข่งขันของมหาอำนาจ ทั้งสหรัฐฯ จีน รัสเซีย อินเดีย และกลุ่มประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิก ดังนั้น ไทยต้องรักษาความสัมพันธ์กับทุกฝ่ายโดยไม่เลือกข้าง พร้อมใช้กลไกอาเซียนเป็นภูมิต้านทาน และสร้างอำนาจต่อรองในด้านเทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)

 

นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำว่าการทูตไทยต้องมองไกลกว่าผลประโยชน์ใกล้ตัว เพื่อสร้างศักดิ์ศรีบนเวทีโลก โดยไทยควรมีบทบาทนำในประเด็นสากล อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change), การป้องกันโรคระบาด, การต่อต้านการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติ

 

การต่างประเทศที่แข็งแกร่งต้องเริ่มต้นจากบ้าน (Foreign policy begin at home) หรือความพร้อมภายในประเทศ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อกำหนดหนทางและยุทธศาสตร์ที่เป็นเอกภาพ เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

 

ท้ายที่สุดยุทธศาสตร์การต่างประเทศของเราการทูตของเรา ต้องมุ่งสู่ที่ประเทศไทยจะอยู่ในเวทีโลกอย่างมีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี และผลักดันผลประโยชน์ของประเทศไทยทุกด้านเพื่อให้ไทยอยู่ในแนวหน้าของประชาคมโลกและเพื่อให้ไทยเป็นไทยในเวทีโลก

 

ขณะที่ ซาบีดา ขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์ในงานแถลงนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ปี 2569 ประเทศไทยยังไม่สามารถก้าวผ่านกับดักประเทศรายได้ปานกลาง หัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักนี้ คือ การเพิ่มทักษะความสามารถให้กับแรงงานควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีการลงทุนในทุนมนุษย์อย่างจริงจัง ซึ่งทรัพยากรมีค่าที่ที่สุด คือ ทรัพยากรมนุษย์ ฉะนั้นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์คือสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะเรื่องของการศึกษา แต่ประเทศจะไปต่อได้ ก็ต่อเมื่อทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม

 

แต่การเข้าถึงการศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวที่มีรายได้น้อย นักเรียน นักศึกษา หรือคนทำงานที่ต้องการทักษะใหม่ๆ ต้องแบกรับ ค่าใช้จ่ายในการเรียนรู้ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม หากมีปัญหาการศึกษาทางโครงสร้างประเทศไทยก็ยากที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พรรคภูมิใจไทยจึงเสนอแนวคิดการศึกษาเท่าเทียมพลัส เพื่อทำให้เรียนฟรีมีจริง เรียนฟรีมีงานทำ เรียนฟรีได้ทุกที่ทุกเวลา

 

ดังนั้นเรียนฟรีมีจริง เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาจะเกิดขึ้นจริง ถ้าเลือกพรรคภูมิใจไทย พรรคภูมิใจไทยเราให้คุณค่ากับทุกคน การที่เราจะให้คุณค่า เราต้องมีเครื่องมือที่ถูกต้องก่อน และพรรคภูมิใจไทยจะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้คนเหล่านี้ลุกขึ้นยืนและเป็นกำลังของชาติได้ต่อไป

 

นโยบายถัดมา คือนโยบายสูงวัยพลัส ที่เราให้ความสำคัญกับการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ที่ผ่านมาเราอาจจะมุมมองต่อผู้สูงอายุ ที่มีความแตกต่างกันออกไป พรรคภูมิใจไทยของเรามองว่า ผู้ที่สูงอายุนั้นเป็นผู้ที่มีคุณูปการมหาศาลเรามีนโยบายที่จะดูแล บริหารจัดการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุได้อย่างเป็นระบบ ผู้สูงอายุจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศได้อย่างแน่นอน นโยบายสูงวันพลัส

 

นอกจากนี้ ยังมีนโยบาย 1 อำเภอ 1 ศูนย์บำบัดยาเสพติด การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ที่ติดยาเสพติดเราจะไม่เรียกเขาว่า ผู้เสพ แต่เราจะเรียกเขาว่า ผู้ป่วย เพราะการบำบัดยาเสพติดไม่ควรอยู่ไกลบ้าน เพราะปัญหายาเสพติดไม่ใช่เรื่องใกล้ตัว หลายครอบครัวต้องเจ็บ ต้องทน ต้องแก้ไขกันมานาน พรรคภูมิใจไทยจะไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องสู้เพียงลำพัง นโยบายนี้เพื่อนำการรักษาไปไว้ใกล้บ้าน ให้คนที่พลาดกลับคืนสู่ครอบครัว กลับคืนสู่สังคม ทำให้เขามีความรักและมีความหวังอีกครั้ง

 

ขณะที่ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง กล่าวว่า วันที่อนุทิน ได้ชวนทำงานสภาวะเศรษฐกิจไทยหนักมาก โดยบอกว่าถ้าตนไม่ออกมาเศรษฐกิจไทยจะแย่กว่านี้ นี่คือโจทย์ที่ให้ตนมาช่วยดู และต้องพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ได้

 

ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเหมือนรถที่ติดหล่ม จะพลิกฟื้นจากติดหล่มได้อย่างไร หลัง รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อ 30 กันยายน เศรษฐกิจกิจไทยดิ่งเหว จากจีดีพี3.2% จีดีพีเหลือ 1.8% มาเหลือ จีดีพี 1.2% ถ้าไม่ทำอะไรเลยเศรษฐกิจจีดีพีจะเหลือ0.3%

 

นายกฯ บอกเรามีเวลาสี่เดือนไปออกนโยบายเศรษฐกิจมาจึงเกิดนโยบาย ควิกบิ๊กวิน ด้วยนโยบาย คนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน ฯลฯ ที่ใช้เวลา73วันสามารถทำได้ และเศรษฐกิจไทยพ้นจากรถติดหล่มแล้ว

 

เอกนิติ กล่าวว่า วันนี้ได้รับโจทย์ เมื่อไทยพ้นจากการติดหล่มแล้วจะไปต่ออย่างไร ซึ่งถ้าเราได้ทำต่อ อีกสี่ปี ระหว่างปี2569-2572 เราตั้งใจจะทำให้ เศรษฐกิจไทยจีดีพีเกิน 3% พลัส ด้วยนโยบาย เศรษฐกิจ 10 พลัส

 

1.เติมชีวิตให้คนตัวเล็กแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เติมชีวิตให้คนตัวเล็ก 13 ล้านราย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พลัส คนละครึ่งพลัส พันธบัตรรัฐบาล ออมพลัส ค่าไฟไม่เกิน 3 บาทต่อหน่วย (200 หน่วยแรก) ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ (AMC)

 

2. แมดอินไทยแลนด์ SMEs พลัส เติมทุนให้ ค้ำประกันไว สู้ได้ทุกที่ ผู้สูงวัยพลัส ทักษะดี มีงาน มีเงิน มีคนดูแล

 

3.ลงทุนพลัส เพิ่มการลงทุน รัฐร่วมทุน กระตุ้นโตยาว

 

4.ผลิตได้ ขายออก พลัส ผลิตของที่ใช่ ขายของที่คนชอบ ตอบโจทย์ทุกคน

 

5. Trade พลัส ค้าขายฉลาด อัพเกรดการผลิต

 

6.เศรษฐกิจสีเขียว พลัส เพราะรักษ์โลกคือทางรอด และเป็นทางรวย อย่างยั่งยืน

 

7.ดิจิทัล AI พลัส AI ถึงมือ งานถึงตัว เงินถึงบ้าน

 

8.การศึกษาเท่าเทียม พลัส เรียนฟรีมีจริง มีงานเรียนฟรีทุกที่ทุกเวลา

 

9.สูงวัยพลัส ทักษาะดี มีงาน มีเงิน มีคนดูแล

 

10.ไทยแลนด์ พลัส รัฐฉับไว เศรษฐกิจใหม่ คนไทยแฮปปี้

 

ขณะที่ ไชยชนก กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศอยู่ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนต่างๆ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยตระหนักถึงความไม่แน่นอนเหล่านี้ เป็นที่มาของนโยบาย พร้อมก่อนภัยเคียงข้างไทยทุกสถานการณ์ ซึ่งประเด็นภัยพิบัติมี 2 ส่วน คือ ภัยพิบัติจากธรรมชาติกับภัยพิบัติจากฝีมือมนุษย์ สำหรับภัยพิบัติจากธรรมชาติ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำท่วม ไฟป่า พายุที่รุนแรงขึ้น วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ และทำอย่างไรเพื่อให้รู้ทันภัย

 

ไชยชนก กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องยกระดับฐานข้อมูลการพยากรณ์ภัยต่างๆ รวมถึงการเสริมอุปกรณ์วิเคราะห์ข้อมูลคือการใช้เอไอ เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ พรรคภูมิใจไทยต้องการเปลี่ยนให้การพยากรณ์ภัยเป็นเรื่องใกล้ตัวของประชาชน วิธีการคือต้องเชื่อมหน่วยงานด้วยเทคโนโลยี ทำให้เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องผ่านกระบวนการเซ็นอนุมัติ สามารถส่งข้อมูลตรงไปถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ทันที ขณะที่การเข้าถึงประชาชนจะต้องหาพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของประชาชนอยู่แล้ว เพื่อช่วยให้ข้อมูลไปถึงมือพี่น้องประชาชนในทุกๆวัน

 

ขณะที่ การป้องกันภัยจะเกิดขึ้นได้จากความสามัคคีจากทุกหน่วยงาน และบูรณาการทำงานร่วมกันวางแผน สถานการณ์ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีผลกระทบหลายสิ่ง และมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง และทางออกไม่ใช่แค่เรื่องการลงทุนใช้เม็ดเงินเยอะๆเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องสร้างเส้นเลือดฝอยทั่วประเทศไทยในจุดที่เหมาะสม แต่ไม่ว่าเราจะรู้เท่าทันแค่ไหน แต่ภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่เหนือกว่าการที่มนุษย์จะต่อต้านและสู้ได้

 

ดังนั้น การฟื้นฟูเยียวยาประกันภัยครัวเรือนเกี่ยวกับภัยพิบัติ ควรเป็นสิทธิพื้นฐานของพี่น้องประชาชนทุกครัวเรือนในประเทศไทย นำมาสู่นโยบายกองทุนภัยพิบัติ โดยจะได้รับมากถึง 100,000 บาทต่อครัวเรือน ต่อภัยทั่วประเทศ ซึ่งทำได้แน่นอน

 

ขณะที่ ศุภจี กล่าวปิดเวทีโดยชี้ว่า การค้าขายในโลกปัจจุบันถูกโอบล้อมด้วยบริบทภูมิรัฐศาสตร์อย่างเข้มข้น โลกเปลี่ยนผ่านสู่ระบบหลายขั้ว (Multi-polar world) แบ่งเป็นหลายค่าย หลายข้าง ประเทศไทยจึงไม่อาจเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ แต่ต้องวางตัวในจุดที่พอดี หากเราสร้างคุณค่าให้มากพอ ทุกประเทศก็พร้อมจะเป็นคู่ค้ากับไทย

 

ในมิติภูมิเศรษฐกิจ ศุภจี เน้นว่าประเทศไทยจะรับมือแรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือและการบูรณาการทุกภาคส่วน โดยกระทรวงการคลังทำหน้าที่ใช้เงิน เพื่อเยียวยาและดูแลคนตัวเล็ก ผู้สูงอายุ ชุมชน และผู้ประกอบการ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่หาเงินเข้าประเทศ พร้อมเชิญชวนทุกฝ่ายช่วยกันสร้างรายได้ให้ประเทศ

 

สำหรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ปัจจุบัน GDP ภาคเกษตรอยู่ที่ 6% ภาคอุตสาหกรรม 25% และภาคบริการ 66% แม้แรงงานกว่า 30% อยู่ในภาคเกษตร แต่สร้างรายได้เพียง 6% จึงจำเป็นต้องเพิ่มผลผลิตและมูลค่า ภาคอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนลดลง ต้องมองหาอุตสาหกรรมใหม่ ส่วนภาคบริการซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของเศรษฐกิจ ต้องยกระดับสู่บริการมูลค่าสูง ทั้งหมดสะท้อนว่าประเทศไทยไม่สามารถอยู่กับที่ได้ เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว และไทยต้องพร้อมเปลี่ยนตาม

 

ศุภจี แบ่งแนวคิดด้านการค้าออกเป็น 4 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกคือการเชื่อมการค้าโลก ซึ่งต้องมองการค้าในมิติห่วงโซ่อุปทาน จากเดิมที่ขายเพียงตัวสินค้า ต้องขยับไปสู่การขายวัตถุดิบและสารตั้งต้นเพื่อแปรรูปต่อ โดยวิเคราะห์ให้ครบทั้งระบบ เป้าหมายคือเปลี่ยนประเทศคู่ค้าให้เป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนในห่วงโซ่อุปทาน นี่คือหัวใจของการตลาดระหว่างประเทศ

 

ภาคบริการซึ่งคิดเป็น 66% ของ GDP ต้องขายควบคู่กับสินค้า โดยเฉพาะบริการมูลค่าสูง เช่น การแพทย์ ธุรกิจคอนเทนท์ ซึ่งต้องอาศัยการปรับ Mindset ใหม่ ขณะเดียวกัน ไทยยังมีโอกาสจากช่องว่างอัตราภาษีของสหรัฐฯ (US Tariff Gaps) ที่ไทยเสียภาษีต่ำกว่าหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย และแคนาดา จึงต้องใช้โอกาสนี้เจาะตลาด โดยยึดหลักหาประโยชน์ร่วม เพื่อสร้างความยั่งยืนจากคู่ค้าสู่หุ้นส่วน

 

ด้านภาคเกษตร ศุภจีเน้นการสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้เกษตรกร ทั้งการส่งออกและการเจรจาการค้า เสนอแนวคิดให้การจัดซื้อขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น เครื่องบินหรือยุทโธปกรณ์ ไม่ควรใช้เงินสดเพียงอย่างเดียว แต่ควรแลกเปลี่ยนด้วยสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับฐานราคาผลผลิต นอกจากนี้ การเพาะปลูกต้องอิงความต้องการตลาด ไม่ใช่ปลูกตามความเคยชิน โดยเฉพาะข้าวที่มีความหลากหลายสายพันธุ์ตามพื้นที่

 

ศุภจี ยังชี้ถึงปัญหาเครื่องมือการผลิต การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ และการสร้างเรื่องราวสินค้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปช่วยเหลือแล้วราว 200 ชุมชนในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พร้อมยกตัวอย่างการสนับสนุนงบ 2,000 บาทต่อไร่ (ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครอบครัว) เพื่อทดลองปลูกพืชท้ายไร่ ซึ่งอนุมัติไปแล้วกว่า 1 ล้านไร่ และมีตลาดรองรับไว้ล่วงหน้า

 

ในส่วน SME ศุภจี ชูนโยบาย ติดปีก SME เน้นการสร้างสินค้ามูลค่าสูง และการผลักดันธุรกิจแฟรนไชส์ในรูปแบบ Asset Light เพื่อให้ขยายกิจการได้โดยไม่ต้องใช้เงินทุนสูง พร้อมยกตัวอย่างความสนใจจากซาอุดิอาระเบียในการซื้อแฟรนไชส์ไทย รวมถึงการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ด้านคอนเทนท์ การผลักดันสินค้า GI เพื่อเพิ่มมูลค่า และการสร้าง New S-Curve เช่น การท่องเที่ยวมูลค่าสูง World Medical และ Senior Living โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ

 

นอกจากนี้ ยังผลักดันบทบาทไทยในฐานะ Multicaster เช่น การเป็นฮาลาลฮับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การดึงกองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติ และความร่วมมือด้านการศึกษา พร้อมย้ำนโยบายรัฐฉับไว อนุมัติไว ไม่มีกั๊กลดความซ้ำซ้อนของกฎหมาย โปร่งใส และทันสมัย

 

ช่วงท้าย ศุภจี กล่าวติดตลกถึงการทำ Regulatory Guillotine ที่ยังทำได้ไม่มาก เพราะมีการยุบสภาก่อน พร้อมย้ำเป้าหมายดึงประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีเพื่อให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์มากขึ้น และทิ้งท้ายว่า แม้วันนี้คนไทยอาจยังยิ้มไม่ค่อยออกแต่ถ้าขอเวลาอีก 4 ปี พวกเรายิ้มได้สวยเเน่นอน

 

จากนั้น แกนนำพรรคภูมิใจไทยกลับขึ้นบนเวทีอีกครั้ง ก่อนที่อนุทินจะบอกว่า “ขอกอดหน่อย” แล้วเข้าไปสวมกอดศุภจี พร้อมระบุว่า “เหนื่อยไหมครับ” ก่อนจะบอกว่าที่ถามเพราะจากวันนี้ไปทุกคนจะเหนื่อยเป็นพันเท่า ซึ่งตนมั่นใจว่าทุกท่านต้องการเหนื่อย มีความสุขในการทำงานอย่างหนัก ถ้าจะเหนื่อยเพื่อชาติชาติ ประชาชน พวกเราอยากเหนื่อยมาก ๆ อยากเหนื่อยแสนสาหัส เพื่อให้ประชาชนหายเหนื่อย

 

อนุทิน กล่าวอีกว่า การนำเสนอนโยบายพรรคที่ผ่านมาตัวแทนทุกคนคิดเองทำเอง ไม่มีทีมงาน เดินทางกลับบ้านเวลาตี 2 วันนี้จึงเป็นนกเค้าแมวทั้งหมดแล้ว อีกทั้งดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอความปรารถนาให้กับประชาชน ตนขอรับรองว่าประชาชนจะพ้นจากความกังวล ความหวาดกลัวในทุกเรื่อง เมื่อพรรคภูมิใจไทยได้กลับเข้าไปเป็นรัฐบาลรับใช้ประเทศไทย

 

อนุทิน กล่าวต่อว่า มีคำถามระหว่างการแถลงบนเวทีจากโซเชียลมีเดีย ว่า นำคนเก่งมาหมดเลย แล้วมึงจะเป็นนายกรัฐมนตรีทำไม คำตอบของตน คือ เป็นนายกฯ เพื่อที่จะให้คนเก่งเหล่านี้ได้มาทำงานด้วยกัน เพราะเชื่อว่าไม่มีใครตื๊อเก่งเท่า ซึ่งเราจะรวมพลังกันกับพรรคพรรคพวกทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ ภาคเอกชน สร้างบ้านแปลงเมืองให้ไทยมีอนาคตที่สดใส มั่นคง มั่นคง ยั่งยืน

 

อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 1อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 2อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 3อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 4อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 5อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 6อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 7อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 8อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 9อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 10อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 11อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 12อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 13อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 14อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 15อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 16อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 17อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 18อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 19อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 20อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 21อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 22อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 23อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 24อนุทินนำทีม เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์ แถลง ‘พูดแล้วทำ พลัส’ นโยบายหาเสียงเลือกตั้ง 69 ยืนยันเลือก ภูมิใจไทย ไม่มีเทา 25

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising