วันนี้ (5 กุมภาพันธ์) เวลา 09.34 น. ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการตัดการจ่ายกระแสไฟฟ้าฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) หลังมีข้อมูลว่ามีการนำไฟฟ้าไทยไปให้ขบวนการคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติใช้ ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติใน 5 จุดซื้อขาย ดังนี้
- จุดขายบริเวณบ้านพระเจดีย์สามองค์-เมืองพญาตองซู รัฐมอญ
- จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
- จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
- จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 เมืองเมียวดี
- จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง-เมืองเมียวดี
การตัดไฟฟ้าทั้ง 5 จุด ทยอยตัดไฟตั้งแต่เวลา 09.00 น. โดยจุดสุดท้ายมีอนุทินเดินทางมากดสวิตช์ปิดกระแสไฟฟ้าด้วยตัวเองในเวลา 09.34 น. รวมการตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุด 20 เมกะวัตต์
อนุทินกล่าวภายหลังการตัดไฟว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตัดกระแสไฟฟ้าไปยังประเทศรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 5 จุด ตามมติของที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ประชุมไปวานนี้ (4 กุมภาพันธ์) ซึ่ง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามและมีหนังสือสั่งการมายัง กฟภ. ให้ดำเนินการตัดกระแสไฟฟ้าตามกำหนดเวลา 09.00 น.
เราเป็นผู้ปฏิบัติ เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายก็สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งก่อนหน้านี้มีการตั้งคำถามว่า ทำไมกระทรวงมหาดไทยไม่ตัดกระแสไฟฟ้า ต้องบอกว่ามันอยู่นอกเหนืออำนาจ แต่เมื่อ สมช. ประชุมและมีมติออกหนังสือคำสั่งออกมาเราก็ดำเนินการทันที ตามที่ตนและปลัดกระทรวงมหาดไทยเคยบอกไว้ว่าบทบาทหน้าที่ของเราเป็นอย่างไร เท่ากับว่าตอนนี้กระแสไฟฟ้าที่ถูกส่งจากไทยไปประเทศเมียนมาได้ยุติลงแล้ว
ทั้งนี้ อนุทินกล่าวว่า การอนุญาตให้ขายไฟฟ้าไปประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนั้นการจะตัดกระแสไฟฟ้าก็ควรรายงานไปยังคณะรัฐมนตรี แม้ว่าเรื่องนี้จะดำเนินการไปแล้วตามมติ สมช. ก็ยังต้องเสนอแจ้งนายกรัฐมนตรีให้รับทราบ ส่วนจะมีการเสนอให้ ครม. รับทราบหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของท่าน เพราะเรื่องนี้ยังมีมติที่ต่อเนื่องเพิ่มอีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือให้กระทรวงมหาดไทยและการไฟฟ้าศึกษามติ ครม. ที่อนุญาตให้ขายไฟฟ้า เพื่อทบทวนและปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ ซึ่งในอดีตยังไม่มี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และนำเสนอให้ ครม. พิจารณา
อนุทินยืนยันว่า เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เคยสั่งระงับการจ่ายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้าน แต่สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปติดตามสืบสวนสอบสวนว่ามีการใช้ไฟฟ้าที่ไทยส่งให้เมียนมาไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือไม่ หากมีก็ให้ดำเนินการตัดไฟ ซึ่ง กฟภ. ได้ทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานต่างๆ แล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทางการเมียนมาติดต่อประสานขอซื้อไฟฟ้าใหม่นั้น อนุทินกล่าวว่ายังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ วันนี้รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ซึ่งทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องเจรจาใหม่ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่าจะเป็นผู้ไปประสานกับรัฐบาลเมียนมาเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการตัดกระแสไฟฟ้า ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติไทยสามารถงดจ่ายไฟได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงภูมิธรรมที่อ้างว่า กฟภ. มีอำนาจในการตัดไฟเองได้เลยนั้น อนุทินกล่าวว่า สำหรับตนมองว่าไม่ใช่ นี่ไม่ใช่การโยนกันไปโยนกันมา กระทรวงมหาดไทยไม่ได้ไปขอให้นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีสั่งการ แต่เป็นไปตามขั้นตอน กฟภ. มีหน้าที่ในการจ่ายไฟ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการประเมินว่ามีผลต่อความมั่นคงของประเทศหรือความมั่นคงทางพลังงานหรือไม่
อนุทินยอมรับว่า การตัดไฟฟ้าในครั้งนี้ตัดไฟฟ้าไปทั้งหมด 20 เมกะวัตต์ รายได้ประมาณ 50 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 600 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้การขายไฟทั้งหมดรวม 6 แสนล้านบาทต่อปี ในส่วนนี้จึงไม่ถึง 1% แค่นี้ถือว่าคุ้ม และเราไม่ได้ล่าช้า ขณะเดียวกันยอมรับว่ามีการขายไฟฟ้าให้กับประเทศกัมพูชา และมั่นใจว่าจะใช้หลักการนี้เช่นเดียวกัน แต่จะเป็นเมื่อไรให้ถาม สมช.
อนุทินปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่าการตัดกระแสไฟฟ้าจะช่วยสกัดกั้นการก่ออาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มากน้อยแค่ไหน แต่เป็นการทำตามคำสั่ง เราซึ่งทราบว่าทางเมียนมารับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ที่จีนไปตั้งบริษัท ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน ก็ต้องไปดูแลจัดการกันเอง ไม่เกี่ยวข้องกับเราที่จะมากล่าวหาได้ว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก่อให้เกิดสิ่งผิดกฎหมาย
อนุทินยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เป็นเรื่องความมั่นคงและการรับข้อสั่งการจากรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายนโยบาย ไม่ใช่การเมืองหรือประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนยืนยันเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เป็นประเด็น ซึ่งตนบอกว่าเมื่อไรก็ตามที่มีข้อสั่งการที่ถูกต้องตามกฎหมาย กฟภ. จะดำเนินการทันที
“ตัดไฟ ตัดน้ำมัน ตัดอินเทอร์เน็ต หมายความว่าความเสียหายทั้งหมดจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับวัตถุดิบของประเทศไทย และต่อจากนี้คงต้องไปดูเรื่องการสกัดกั้น” อนุทินกล่าวทิ้งท้าย