วันนี้ (7 ธันวาคม) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการตรวจเยี่ยมศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด กรณีพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายแรกของประเทศไทย ว่าถ้ามีการฉีดวัคซีนครบถ้วนและใช้มาตรการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา เช่น ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ ก็จะลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้ทุกสายพันธุ์ รวมทั้งสายพันธุ์โอไมครอน
นอกจากนี้ไทยยังมีระบบคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างเข้มข้น ทำให้สามารถตรวจพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนรายแรกเป็นชายอเมริกันเดินทางมาจากสเปน นำเข้าสู่ระบบการรักษาและติดตามสอบสวนโรคผู้สัมผัสเพื่อแยกตัวเฝ้าระวังตามระบบการควบคุมโรคแล้ว ส่วนข่าวตรวจพบเชื้อในผู้สัมผัสนั้น ทราบว่าต้องนำตัวอย่างมาปั่นหาเชื้อถึง 36 รอบจึงพบ แสดงว่าเชื้อมีปริมาณน้อยมาก อาจจะเพิ่งติดเชื้อหรือเคยติดเชื้อมาก่อน กำลังรอผลตรวจยืนยันเพิ่มเติมและตรวจหาสายพันธุ์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 3 วัน
“จะช้าหรือเร็วทุกประเทศต้องพบเชื้อโอไมครอน เนื่องจากคนมีการเดินทาง แต่ไทยมีการเตรียมรับมือโดยการตรวจคัดกรองเชิงรุกมากขึ้น ขณะเดียวกันมีการจำกัดการเข้าประเทศไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศงดออกเอกสาร Certificate of Entry และ Fit to Fly ให้กับผู้เดินทางจากประเทศแถบแอฟริกา ทำให้ช่วยจำกัดคนเดินทางได้มาก” อนุทินกล่าว
ส่วนประเทศอื่นๆ มีระบบคัดกรองเข้มข้น โดยต้องมีวัคซีนพาสปอร์ตว่าฉีดวัคซีนที่ไทยยอมรับครบถ้วน มีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบก่อนขึ้นเครื่อง 72 ชั่วโมง และเมื่อมาถึงไทย จะตรวจซ้ำด้วยวิธี RT-PCR ตามเดิม ยังไม่ปรับไปใช้การตรวจด้วย ATK จึงไม่จำเป็นต้องประกาศประเทศที่ห้ามเข้าไทยเพิ่มเติม
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินมาตรการทุกอย่างด้วยความระมัดระวังเต็มที่ ให้ประเทศเดินหน้าไปได้ด้วยความเรียบร้อยในทุกมิติ ขอให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติแบบ New Normal สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และมารับวัคซีนกันให้มากที่สุด
ส่วนแนวทางรับมือกับสายพันธุ์โอไมครอน อนุทิน ระบุว่า ตอนนี้เรากำลังเร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้ประชาชน ส่วนกลุ่มที่จะไปต่างประเทศไม่ต้องกังวล เพราะวัคซีนที่ไทยนำมาให้บริการนั้นผ่านการรับรองจากนานาชาติแล้ว ล่าสุดเพิ่งได้หารือกับอธิบดีกรมควบคุมโรค สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็ม หรือ AstraZeneca 2 เข็ม ถึงเดือนสิงหาคม สามารถขอรับวัคซีนเข็มที่ 3 ได้ ขอให้ประชาชนมารับบริการกันมากๆ โดยวัคซีนที่ได้รับอาจจะเป็นวัคซีน AstraZeneca หรือแบบ mRNA เนื่องจากตอนนี้ต้องเร่งรักษาระดับภูมิคุ้มกันให้สูงไว้เพื่อรับมือการระบาดของโอไมครอนที่ค่อยๆ กระจายไปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม มีความหวังจากองค์การอนามัยโลก และนักวิชาการด้านการแพทย์ ที่ออกมาเผยแพร่ข้อมูลว่า เชื้อโอไมครอนแพร่ง่ายแต่ไม่รุนแรงนัก ส่วนตัวขอให้ความหวังนี้เป็นจริง แต่ที่แน่นอนคือวัคซีนที่ใช้กันอยู่สามารถป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมกับการเผชิญหน้ากับเชื้อสายพันธุ์ใหม่ๆ อยู่ตลอด โดยการสั่งซื้อวัคซีนที่จะได้รับในปีหน้านั้น มีเงื่อนไขว่าเราสามารถเลือกเปลี่ยนเป็นวัคซีนตัวใหม่ๆ ให้ทันสถานการณ์ได้ และตอนนี้ต้องเตรียมยา เตรียมแพทย์ เตรียมสถานที่ และที่สำคัญคือต้องเร่งฉีดวัคซีน
ทั้งนี้ตนพบว่ามีบางคนเพิ่งได้รับเข็มแรก ทั้งที่มีสิทธิ์ฉีดมานานแล้ว แต่ยังลังเล จึงเพิ่งมารับการฉีด ขอย้ำว่าการฉีดวัคซีนดีกว่าการไม่ฉีดนับ 10 เท่า
ในส่วนของมาตรการเพื่อจัดการกับโอไมครอน ได้มีการปรับมาตรการไปแล้ว ในส่วนของข้อจำกัดนักเดินทางจากทวีปแอฟริกาที่มีเงื่อนไขมากขึ้น ขณะเดียวกัน จากที่เคยมีแผนจะใช้การตรวจแบบ ATK กับผู้เดินทางเมื่อมาถึงไทย ขณะนี้ก็ได้ให้ชะลอแผนไว้ก่อน
“เรามีการปรับแผนรับมืออยู่ตลอด โดยความปลอดภัยของประชาชนเป็นเรื่องที่เราคำนึงถึงลำดับต้นๆ แต่การจะตัดสินใจทำอะไรที่มันเข้มข้นมากๆ ไปล็อกดาวน์โน่น ล็อกดาวน์นี่ ก็ต้องอาศัยข้อมูลที่รอบด้าน และต้องคิดให้ละเอียด เพราะประชาชนก็เพิ่งได้กลับมาทำมาหากิน ต้องมองทุกมุม ทุกมิติ” อนุทิน กล่าวในท้ายที่สุด