วันนี้ (30 กันยายน) วันที่สองของการอภิปรายนโยบายต่อรัฐสภา จิราพร สินธุไพร สส. ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายว่ารัฐบาลของ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็น รัฐบาลพิเศษ ที่จัดตั้งขึ้นด้วยวิธีพิสดารท่ามกลางสถานการณ์ที่ผิดปกติ โดยชี้ให้เห็นถึงความน่าสงสัยที่การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จภายใน 3 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอย่างน่าเหลือเชื่อ หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกฯ
จิราพรยังตั้งข้อสังเกตว่า ข้อตกลง MOA ที่จัดทำขึ้นอาจเป็นเพียงฉากหน้า แต่มีข้อตกลงลับซ่อนอยู่เบื้องหลัง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยได้เริ่มฉีก MOA ทันทีที่จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ โดยเฉพาะความพยายามที่จะเปลี่ยนรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้กลายเป็นเสียงข้างมาก ผ่านการรวบรวมเสียงโหวตที่เกินกว่าที่ตกลง และมีแนวโน้มที่ สส. จะย้ายเข้าพรรคเพิ่มเติมในช่วง 4 เดือนก่อนยุบสภา ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรัฐบาลเฉพาะกิจในอดีตอย่างรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน ที่มีภารกิจชัดเจนในการคืนอำนาจให้ประชาชนและยุบสภาโดยเร็วตามที่แถลงนโยบายไว้
จิราพรยังกล่าวถึงคำแถลงนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ให้ความสำคัญกับ MOA ซึ่งเป็นที่มาของรัฐบาลเอง ไม่ได้ฟังสิ่งที่ผู้นําฝ่ายค้านทําข้อตกลงกับท่านที่ระบุว่า ไม่ได้เลือกท่านมาบริหาร แต่เลือกท่านมาเพื่อยุบสภา
“MOA ไม่มีผลผูกพัน รัฐสภาตามกฎหมาย แต่ถ้าดูในสถานะการเมืองแล้ว MOA มีน้ําหนักและมีผลต่อรัฐบาลชุดนี้มากกว่านโยบายที่อนุทินอ่านให้เราฟังซะอีก และเป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐบาลนี้เกิดจาก MOA แต่ปรากฏว่าคนที่พูดถึง MOA น้อยที่สุดกลับเป็นรัฐบาลเสียเอง แม้แต่วันแถลงนโยบายที่ซึ่งเป็นวันที่สําคัญที่สุดท่านก็ไม่พูดถึง ถ้าดิฉันเป็นพรรคที่โหวตให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคิดว่าคงถึงขั้นที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ”
จิราพรยังระบุด้วยว่า สิ่งที่คนอยากฟังคือเรื่องที่ท่านนายกรัฐมนตรีไม่ได้อ่าน ในคำแถลงนโยบาย โดยเฉพาะเรื่องคดีที่เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางท่าน เช่น คดีฮั้ว สว. และคดีเขากระโดง ซึ่งประชาชนยังหวาดระแวงสงสัยว่าท่านจะยุบคดีก่อนการยุบสภา รวมถึงนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าไม่ได้ทําคดีเหล่านี้ แต่ถูกกลั่นแกล้ง จะกลายเป็นว่า ใครที่ทําคดีเหล่านี้จะเป็นการกลั่นแกล้งนายกรัฐมนตรี จะทําให้ข้าราชการไม่กล้าทําอะไรหรือไม่ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ต้องหาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)
ขณะเดียวกัน การแถลงนโยบายในหน้าแรกระบุว่า จะยึดมั่นในหลักนิติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม จึงอยากขอให้คำมั่นว่าจะไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในคดีต่างๆ
“ท่านกล้าให้คํามั่นสัญญากับรัฐสภาแห่งนี้หรือไม่ว่า จะไม่กลั่นแกล้งหรือโยกย้ายข้าราชการผู้เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ทําคดีเหล่านี้ และไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมใด เมื่อวานนี้มีสมาชิกหลายท่านถามท่านไปแต่ท่านยังไม่เคยตอบ ท่านนายกรัฐมนตรีจะรับปากต่อสภาแห่งนี้ได้หรือไม่”
จิราพรยังกล่าวถึงภารกิจที่ใหญ่ที่สุดอย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับถูกย่อเหลือเพียง 3 บรรทัดในคำแถลงนโยบาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจ และได้ขอให้นายกรัฐมนตรีแสดงความมุ่งมั่นโดยการเชิญชวน สว. ให้ร่วมมือแก้ไขรัฐธรรมนูญกลางสภา
พรรคเพื่อไทยจะใช้เวลา 4 เดือน นับจากนี้ในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นในทุกมิติ เพราะเชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้ต้องการอยู่เพียง 4 เดือนตามข้อตกลง แต่อาจต้องการอยู่ยาวถึง 4 ปี และพรรคเพื่อไทยจะพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลนี้สมควรที่จะได้บริหารประเทศต่อไปหรือไม่
ด้าน แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส. อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นชี้แจงว่า หวังว่าวันนี้ระยะเวลาที่เหลือของแต่ละฝ่ายจะใช้อย่างคุ้มค่าเป็นประโยชน์และตรงประเด็นข้อมูลครบถ้วนไม่ใช่ครึ่งๆ กลาง ๆ ชี้นําให้คนเข้าใจผิด ซึ่งตนและเพื่อนสมาชิกเป็น สส. มานาน เชื่อว่าคงไม่มีการแทรกแซงไปมากกว่าชั้น 14
“ไม่มีลุง มีแต่เฟรนด์” ปัดดีลลับ บอกชวนล็อบบี้ สว. เหมือนชี้ทางไปนรก
ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ชี้แจงตอบโต้ข้อกล่าวหาของจิราพร โดยยืนยันว่าการจัดตั้งรัฐบาลไม่มีเบื้องหลังหรือข้อตกลงลับกับผู้นำกัมพูชาตามที่ถูกพาดพิง โดยตนแทบไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวและเพิ่งเคยพบ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา อย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อติดตามแพทองธารไปเยือนกัมพูชา เมื่อเดือนเมษายน 2568 พร้อมปฏิเสธประเด็นคลิปเสียงอังเคิล โดยระบุว่า “ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล มีแต่เฟรนด์” และไม่เคยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
อนุทินได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่า เป็นเพราะถูกบีบให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยพรรคเพื่อไทยให้เหตุผลว่า ใกล้เลือกตั้งแล้ว และต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน และให้ไปอยู่กระทรวงสาธารณสุขแทน ซึ่งตนมองว่าเป็นข้อเสนอที่ยอมรับไม่ได้
และได้โต้แย้งไปว่าในอดีตบิดาของตนเคยคุมกระทรวงนี้ แต่ก็ยังพ่ายแพ้การเลือกตั้งแก่พรรคเพื่อไทยในปี 2554 หลังจากการตัดสินใจถอนตัวขั้นเด็ดขาด ก็มีคลิปเสียงอังเคิลหลุดออกมา ซึ่งทำให้รัฐบาลในขณะนั้นขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ยืนยันว่าไม่มีเหตุผลอื่น
อนุทินยังชี้แจงอีกว่า การทำ MOA เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้นมีเป้าหมายชัดเจนเพียง 2 ข้อ คือ การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ การยุบสภาภายใน 4 เดือน ที่ยืนยันว่าจะไม่เกิน 31 มกราคม 2569 ซึ่งตนให้คำมั่นว่าจะดำเนินการตามสัญญาแน่นอน แต่ MOA ไม่สามารถนำมาบังคับการบริหารราชการแผ่นดินได้ เพราะไม่ได้มีผลผูกพันรัฐบาล ทั้งนี้ ยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทยมีสส. เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดศรีสะเกษ
ส่วนข้อเสนอที่ให้ไปโน้มน้าว สว. ให้ร่วมแก้รัฐธรรมนูญนั้น อนุทินกล่าวว่า เปรียบเสมือนการชี้ทางไปนรกเพราะเป็นการกระทำที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ
“ไม่รู้ท่านวางยาผมหรือเปล่า ให้ผมไปบอก สว. มาแก้รัฐธรรมนูญกัน ต้องรับนะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่านกำลังชี้ทางไปนรก ผมจะไปพูดอย่างนั้นได้ยังไง ทำไม่ได้ ผิดรัฐธรรมนูญครับท่าน ท่านกำลังประสงค์ร้าย เรื่องนี้เป็นเรื่องของประชาธิปไตย ใครเห็นด้วยก็แก้ ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องแก้” อนุทินกล่าว
ท้ายที่สุด อนุทินได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงคดีฮั้ว สว. และคดีเขากระโดงอย่างแน่นอน พร้อมทั้งขอให้ จิราพรถอนคำพูดว่าตนเป็นผู้ต้องหา โดยชี้แจงว่าสถานะที่ถูกต้องคือ ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นคนละขั้นตอนกัน และตนได้ให้ความร่วมมือตามกระบวนการทางกฎหมายมาโดยตลอด ซึ่งในเวลาต่อมา จิราพรก็ได้ยอมถอนคำพูดดังกล่าวในที่ประชุม