ประเด็นสำคัญ
‘อนุทิน’ นายกรัฐมนตรี ร่วมหารือ ‘ส.อ.ท.’ เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจทันทีหลังโปรดเกล้าฯ ยันแก้ปมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาผ่านกลไกการทหารและการทูตควบคู่กัน
วันนี้ (15 กันยายน) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังหารือร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่า ได้มีโอกาสรับฟังความต้องการ ปัญหาและข้อกังวลของภาคอุตสาหกรรม ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ตลอดจนความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมไทยให้เข้มแข็ง จนกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของอาเซียน
อนุทินยอมรับว่า ปมความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นอุปสรรคต่อภาคอุตสาหกรรมไทยอยู่บ้าง แต่ยืนยันชัดเจนว่า จะยังคงปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาต่อไป เนื่องจากประเด็นดังกล่าวต้องอาศัยแนวทางด้านการทหาร และการทูตในการดำเนินการอย่างใกล้ชิด และยังต้องรอให้รัฐบาลเริ่มงานได้เสียก่อน
นอกจากนี้ อนุทินยังกล่าวอีกด้วยว่า ต้องเร่งแก้ไขปัญหาสกุลเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไปจนกลายเป็นอุปสรรคสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยฝากให้ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือกับทาง ส.อ.ท. หลังการประชุมในวันเดียวกัน
พร้อมกันนี้ อนุทินเผยอีกว่า ได้รับทราบและมีการตรวจสอบกระแสการส่งออกทองคำ โดยมอบหมายให้ ดร.เอกนิติ ดำเนินการหาข้อเท็จจริง หากพบสิ่งผิดปกติก็พร้อมดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อนุทินกล่าวว่า ได้เตรียมความพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว หากสามารถเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินได้ตามเวลาที่กำหนดก็จะสามารถดำเนินการได้ทันที โดยเฉพาะนโยบายคนละครึ่ง ซึ่งอนุทินย้ำว่าจะรีบดำเนินการอย่างเร็วที่สุด
ทั้งนี้ สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ที่มีเสียงเรียกร้องให้ชะลอโครงการจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน
อนุทินย้ำว่า พร้อมรับฟังทุกฝ่าย แต่ไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงว่า ภายใต้ระยะเวลาการบริหาร 4 เดือนนี้ จะดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ในรูปแบบใด
โดยกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าวจำเป็นต้องพิจารณาในหลายมิติ ไม่เพียงแค่ตัวเลขความคุ้มค่าของการลงทุน แต่ยังต้องมองไปยังอนาคต ซึ่งหมายถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเน้นย้ำว่า ประเทศไทยมีภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ อยู่ตรงกลางและเป็น ‘ไข่แดงของอาเซียน’ และมีโอกาสอีกมากที่จะใช้ความได้เปรียบดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุทินแจ้งว่า รายชื่อนิ่งและครบ 100% แล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการตรวจประวัติ ก่อนขึ้นทูลเกล้าฯ คาดสามารถทูลเกล้าฯ ได้ภายในสัปดาห์นี้
ส่วนระยะเวลาของการโปรดเกล้าฯ ลงมานั้น อนุทินระบุว่า ต้องสุดแล้วแต่พระราชวินิจฉัย แต่เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว รัฐบาลจะเร่งดำเนินการถวายสัตย์ปฏิญาณ และจะเร่งแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยมีการเตรียมการเรื่องนโยบายไว้ล่วงหน้าแล้ว
ทั้งนี้ อนุทินระบุว่า ได้มีการพูดคุยหารือถึงแผนการรองรับภาคธุรกิจแล้ว โดย ประธาน ส.อ.ท. จะเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดอีกที
ส.อ.ท. วอนรัฐฯ เริ่มแก้ปัญหาทันทีหลังโปรดเกล้าฯ
ด้านเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวหลังการหารือว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ อนุทิน ซึ่งได้กำหนดนโยบายเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญต่างๆ โดย ส.อ.ท. ได้มีข้อเสนอให้แก่ภาครัฐแก้ไขทันทีหลังรับตำแหน่ง ดังนี้
เร่งปรับ Supply Chain สร้างความเข้าใจ RVC
สำหรับมาตรการภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเก็บอัตราภาษีส่งผ่าน (Transshipment) กับสินค้าไทยในอัตราเท่าไรนั้น ส.อ.ท. ได้เสนอให้ภาครัฐเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการ เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสหรัฐฯ
รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณ RVC ตลอดจนการส่งเสริมผู้ประกอบการในการปรับตัว (Transformation) เพื่อปรับซัพพลายเชน (Supply Chain) ของไทยให้มีความยืดหยุ่นและทันสมัย
พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ภาครัฐดำเนินมาตรการเชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศ กำกับดูแลสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand: MiT)
เร่งช่วย SME เสริมสภาพคล่อง
สำหรับสถานะของ SME ไทยที่เผชิญกับความเปราะบางอย่างรุนแรง ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส.อ.ท. ต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งทุน ภายใต้ “มาตรการ Fast Track เพื่อ SME” ซึ่งประกอบด้วย
โครงการค้ำประกันสินเชื่อฉุกเฉิน (Emergency Credit Guarantee) ที่อนุมัติได้ภายใน 3-7 วัน โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าธรรมเนียมช่วงแรก และเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสูงกว่าปกติ เช่น 80–100% เพื่อธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อทันทีให้ SME ที่ต้องการสภาพคล่องเร่งด่วน
สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME ด่วนพิเศษ 1% ผ่านกองทุนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยให้ธนาคารรัฐเป็นผู้ดำเนินการ และเปิดช่องทางด่วน (Express Lane) สำหรับสินเชื่อวงเงิน 5-10 ล้านบาท รวมทั้งสำหรับ SME ที่อยู่ในระบบภาษี โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเติมสภาพคล่องระยะสั้นให้ SME สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และลดความเสี่ยงที่จะลุกลามเป็น NPL
และมาตรการ “Hair Cut” สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้เสีย (NPL) เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ที่เหลือได้และปิดบัญชี รวมทั้งลดปริมาณหนี้เสียในระบบโดยรวม
เร่งปรับโครงสร้างค่าไฟ ลดต้นทุนผู้ประกอบการ
สำหรับแนวทางการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต ส.อ.ท. ได้เสนอให้ภาครัฐเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังเสนอให้ปรับโครงสร้างการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนส่วนเกินที่ไม่จำเป็นและส่งเสริมการเปิดเสรีไฟฟ้า รวมทั้งปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระตามกำหนด เพื่อบรรเทาภาระด้านการเงิน และเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ
เร่งแก้ปัญหาชายแดน
สำหรับปมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ส.อ.ท. ได้เสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
ระยะเร่งด่วน เพิ่มเรือชายฝั่งในการส่งสินค้า เข้าในช่องทางที่ไม่ใช่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดกัน เช่น จันทบุรี และตราด เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ พิจารณาเปิดด่านที่ไม่มีความขัดแย้ง รวมถึงเยียวยาผู้ประกอบการ โดยขอให้นำค่าขนส่งที่ชัดเจน มาใช้หักค่าใช้จ่ายเป็น 2 เท่าได้
สำหรับระยะสั้น เสนอให้รัฐปล่อย Soft Loan ให้กลุ่ม SME ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พิจารณาให้สิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เพื่อจูงใจให้มีการลงทุนในไทยสำหรับชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากกัมพูชา
ในส่วนของมาตรการระยะยาว พิจารณาตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่จะให้ทั้งสองประเทศกลับมาทำการค้าร่วมกัน และมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย สร้างความเจริญเติบโตร่วมกันให้กับภูมิภาค
เร่งตรวจสอบธุรกรรมทองคำ อาจเอี่ยวทุนเทา
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังได้สะท้อนความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งแข็งค่ามากกว่าปกติจนส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยได้เสนอให้ภาครัฐเร่งศึกษาและแยกแยะผลกระทบจากธุรกรรมทองคำ คริปโทเคอร์เรนซี และการโอนเงินแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านระบบ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน
พร้อมทั้งเสนอให้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น FX Options และ Forward Contract ด้วยมาตรการช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเบื้องต้น
สำหรับกลไกความร่วมมือในอนาคต ส.อ.ท. เห็นควรให้ขับเคลื่อนการหารือผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) และจัดให้มีเวทีระดมความคิดเห็นในประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น มาตรการภาษีสหรัฐฯ การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เป็นรูปธรรม