วันนี้ (15 ธันวาคม) เวลา 09.10 น. อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกรายการ กรรมกรข่าว คุยนอกจอ โดยมี สรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ซึ่งพิธีกรได้สอบถามอนุทินว่าได้พักผ่อนเพียงพอหรือไม่ โดยอนุทินตอบว่า “โอเค”
พิธีกรถามถึงการลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดสุรินทร์ เพื่อเยี่ยมเยียนประชาชนที่อาศัยอยู่ในศูนย์อพยพ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา อนุทินกล่าวว่า ต้องไปเยี่ยม ต่อให้เรามีความสะดวกแค่ไหนก็ไม่เท่ากับการได้อยู่บ้าน ทุกคนถามว่าเมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน ซึ่งตนก็บอกว่าไม่นาน แต่อยากให้มีความปลอดภัย 100% ก่อนจึงจะกลับบ้านได้ อยู่ตรงนี้ปลอดภัย อยู่ตรงนี้ลูกหลานที่เป็นทหารซึ่งไปดูแลชายแดนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเขาต้องใช้สมาธิในการสู้รบ
ทั้งนี้ ตนพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงอยู่ตลอดเวลา ว่าการปกป้องดินแดนและรักษาอธิปไตยของเราต้องมีรูปแบบและมีเป้าหมาย ซึ่งทางฝ่ายกองทัพได้รายงานถึงเป้าหมายและกำหนดการต่างๆ หากนับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินการมาจนถึงวันนี้ ก็ต้องถือว่าอยู่ในเป้าหมาย
“ผมไม่สามารถบอกรายละเอียดเป้าในการดำเนินการของทหารได้ แต่เป้าหมายที่ทหารเข้ายึดพื้นที่ ไม่ได้เป็นการทำลายขีดความสามารถ ไม่ได้หมายความว่าเข้าไปถล่มให้แหลกลาญกันไปข้างหนึ่ง แต่เราเข้าไปยึดครองพื้นที่ ทำให้มีการถอยร่นของฝ่ายตรงข้าม และเพียงทำให้เขาเห็นว่าเราเป็นประเทศที่คุณจะมารุกล้ำ มาคุกคามอธิปไตย มาทำร้ายคนของเรา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือชาวบ้าน ไม่ได้ทั้งนั้น
ดินแดนของเรา เรามีการสถาปนาอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าตรงไหนเป็นของเรา ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 มาโดยตลอด สุดท้ายคือต้องพยายามไปให้ถึงจุดที่ไม่มีใครอยากปะทะ แต่เราต้องปะทะเพื่อหยุดปะทะ” นายกฯ กล่าว
จากนั้นพิธีกรถามว่าตอนนี้ใกล้แล้วหรือยัง อนุทินกล่าวต่อว่า หากเป็นเรื่องของการเข้ายึดพื้นที่ พร้อมพยักหน้าและตอบว่า “อืม”
พิธีกรถามอีกว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหมือนนายกรัฐมนตรีลอยตัวไม่ตัดสินใจ อนุทินกล่าวว่า เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อให้อยากจะลอยก็ลอยไม่ได้ จะพยายามวิ่งไปไหนเดี๋ยวก็มีคนเกี่ยวเข้ามา ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายความรับผิดชอบต่อประเทศนี้อยู่ที่รัฐบาล
แต่การตัดสินใจว่าจะไปรบอย่างไร ไม่ใช่การตัดสินใจของตน การตัดสินใจของตนคือการสนับสนุนฝ่ายความมั่นคงให้ดำเนินการอย่างไร เป้าหมายเป็นอย่างไร ต้องสนับสนุนทั้งงบประมาณ กำลังพล และการสนับสนุนด้านหลังอย่างไร ซึ่งกรอบต้องมาจากรัฐบาล และมีการประชุมหารือร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตลอดเวลา
พิธีกรถามต่อว่าคิดอย่างไรกับกระแสที่มองว่ากัมพูชาอาจต้องการเบี่ยงเบนประเด็น จากกรณีการยึดและอายัดทรัพย์บุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ อนุทินกล่าวว่า เรื่องนั้นไม่หายไป เรารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการอะไร และมองว่าเขาต้องการเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องการมีทุ่นระเบิดในพื้นที่ ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก เพราะเขาไม่ใช่ประเทศที่ใฝ่หาสันติอยู่แล้ว
อนุทินชี้แจงกรณีการพูดคุยกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ว่า ผู้นำต่างประเทศต้องฟังรายงาน ซึ่งอาจบอกว่าไม่มีทุ่นระเบิดหรือเป็นทุ่นระเบิดเก่า แต่ตนไม่ทราบว่าฟังจากใคร ขณะที่ตนลงพื้นที่เห็นกับตา
โดยในการพูดคุยกับโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา อีกฝ่ายบอกว่าไทยตอบโต้แรงไปด้วยซ้ำ และสาสมแล้ว ตนจึงบอกว่าจะส่งภาพและวิดีโอคลิปการยิงจรวด BM-21 ให้ดู เพื่อพิสูจน์ว่าใครใช้ความรุนแรงมากกว่ากัน
“เวลาคุยกับผู้นำต่างชาติตั้งแต่มีเรื่อง ‘อังเคิล’ ผมไม่กล้า ผมต้องมีประจักษ์พยาน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะหาว่าแต่งเรื่องเอง ผมไม่กล้า เดี๋ยวจะเป็นปัญหา เราก็ต้องเปิดเผย ย้ำว่าไม่ได้มีการพูดให้หยุดยิงเวลา 4 ทุ่มคืนนั้น
เขาพูดว่าให้หยุด แต่ในทางปฏิบัติอยู่ดีๆ บอกว่า 4 ทุ่มหยุด ทั้งที่กำลังจะตะลุมบอนกันอยู่ ความจริงแล้ว คนที่จะบอกหยุดหรือไม่หยุดคือคู่กรณี ผมก็ยืนยันไปว่าต้องไปบอกฝั่งโน้น” อนุทินกล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า ท่านโดนัลด์ ทรัมป์ และท่านอันวาร์ เป็นบุคคลที่สาม ไม่สามารถสั่งให้ยิงต่อได้ มีหน้าที่เพียงขอให้หยุดสู้รบ ซึ่งทั้งสองท่านก็พูดถูกทั้งหมด เพราะไม่อยากให้เกิดสงคราม
อนุทินกล่าวว่า ตนได้บอกทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และอันวาร์ ให้ไปพูดกับกัมพูชาเรื่องการหยุดยิง โดยท่าทีของโดนัลด์ไม่ได้กดดันอะไร พร้อมสรุปว่า ไทยลงนามในปฏิญญาและปฏิบัติครบทั้ง 4 ข้อ แต่กัมพูชาปฏิบัติไม่ครบ คำถามคือใครต้องแก้หากจะกลับมาคุยกันใหม่ ต้องย้อนกลับไปที่ปฏิญญา และเงื่อนไขแรกที่ไทยต้องการคือการถอนกำลังและอาวุธออกไปให้หมด เพื่อให้ประเทศไทยรู้สึกปลอดภัย
อนุทินย้ำว่า ตนไม่ต้องการให้เกิดสงคราม เพราะทุกวันที่มีการสู้รบ ความเสียหายเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ทั้งชีวิตทหารและประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ในเรื่องของอธิปไตย รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดำเนินการ
“ณ ตอนนี้ เรายังไม่ได้รับการติดต่อโดยตรงจากคู่กรณีของเรา (ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา) และวันนี้ทำไมเราต้องยอม ในเมื่อเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด” อนุทินกล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีการประกาศยุบสภา ว่ามีหลายฝ่ายมองว่าเป็นการหนีการตรวจสอบหรือไม่ โดยยืนยันว่าการตรวจสอบยังไม่เกิดขึ้น และการยุบสภาเกิดจากการที่ไม่มีฝ่ายค้ำรัฐบาลแล้ว จึงต้องคืนอำนาจให้ประชาชน
เมื่อพิธีกรถามถึงกรณีที่พรรคประชาชน (ปชน.) เชื่อว่านายกฯ สามารถโน้มน้าว สว. ได้ อนุทินกล่าวว่า หากบอกว่าโน้มน้าวได้ก็จะถูกกล่าวหาว่าฮั้ว สว. ซึ่งตนไม่สามารถสั่งใครได้
ย้ำว่า เมื่อเอ็มโอเอไปต่อไม่ได้ ก็ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน พร้อมยืนยันว่าตนทำตามข้อตกลงทุกอย่าง และไม่ได้เล่นเกมการเมือง
พิธีกรถามอีกว่า รู้สึกอย่างไรกับข้อครหาว่าพยายามใช้กระแสชาตินิยมสร้างคะแนนนิยมให้พรรคภูมิใจไทย อนุทินกล่าวว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ทำงานเต็มที่เพื่อรัฐบาลและประเทศ ไม่ได้สนใจเรื่องคะแนนนิยมส่วนตัว
“ผมไม่ได้คิดเรื่องกระแส แต่ห่วงบ้านเมือง ถ้าเกิดไม่มีรัฐบาล ประเทศจะเดินต่ออย่างไร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นเรื่องของประเทศ และผมอยากให้มีการเลือกตั้งมานานแล้ว” อนุทินกล่าว


