วันนี้ (29 พ.ค.) อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่า ยังไม่ถึงทางตัน เราต้องมีความหวัง การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เรามองเห็นทิศทางการเมืองแล้วว่าใครจะร่วมงานกับใคร แต่มันยังไม่ชัดเจนมาก เพราะอยู่ในขั้นตอนของการหารือกัน อย่าไปมองว่าเป็นการต่อรองเลย การที่ฝ่ายการเมืองต้องคุยกันก่อนเริ่มทำงาน ถือเป็นการวางแผนการทำงาน เมื่อโอกาสมาถึงจะได้มีความพร้อมเข้าไปทำงานเพื่อประชาชน ภาพการพูดคุยกันเช่นที่เป็นอยู่ล้วนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งมีบทสรุปในทุกครั้ง
อนุทิน กล่าวว่า ทางเราพยายามเสนอให้เวลาจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จแล้ว ต้องมีแกนนำจากแต่ละพรรคมาแถลงร่วมกัน ยืนยันความพร้อมให้ประชาชนสบายใจ ว่าการเมืองเดินหน้าไปได้แน่นอน แล้วจึงไปเลือกนายกฯ ตนไม่ต้องการให้เสนอเพียงชื่อนายกฯ แล้วไปเสี่ยงโหวตกัน ซึ่งอาจจะเกิดความไม่แน่นอนกับบ้านเมือง โดยสรุป ระหว่างนี้มันยังมีเวลาที่เราจะคุยกัน ซึ่งตนเชื่อว่าจะเสร็จตามกรอบเวลา
วันที่ 24 มีนาคมมีการเลือกตั้ง วันที่ 9 มีการรับรอง ส.ส. ต่อ ส.ส. ไปรายงานตัว และเข้าร่วมพิธี ไปจนถึงเปิดสภา มีประธาน และรองประธานสภาฯ ทุกอย่างอยู่ในห้วงเวลา
อนุทินกล่าวด้วยว่า หลักการภูมิใจไทย คือการเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ให้สามารถทำงานเชิงรุกได้ มีความเข้มแข็งชอบธรรมในการต่อรอง
เมื่อถามถึงโอกาสในการร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย หากมีการทาบทามเข้ามา
อนุทินกล่าวว่า ถ้าเพื่อไทยเข้ามาเจรจาอีกรอบ คนที่เป็นนายกฯ ต้องมีเสียงหนุน 376 เสียงจากทั้ง 2 สภา เมื่อลองบวกไปบวกมา พรรคเพื่อไทยและแนวร่วมไม่มีทางได้ 376 เสียงแน่นอน
ฝ่ายที่ได้เสียงในสภาเกิน 376 เสียง คือฝ่ายที่ไปต่อได้ ส่วน ส.ส. ถ้าได้เกิน 250 เสียง ก็ถือว่ามีเสถียรภาพแล้ว
สำหรับความคืบหน้าในส่วนของการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ อนุทิน กล่าวว่า ภูมิใจไทยยื่นข้อเสนอไปแล้ว กำลังรอการตัดสินใจจากพรรคพลังประชารัฐ ทางพรรคต้องการเข้าไปทำงานในส่วนงานที่ได้หาเสียงไว้ ทั้งเรื่องกัญชา เรื่องแก้ไขปัญหาปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจแบ่งปัน ถ้าเราหนุนกัน มันย่อมไปได้
เมื่อถามถึงเสถียรภาพรัฐบาล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่า อย่าไปคิดว่ารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ กลับกัน มองอีกแง่หนึ่ง น่าจะเป็นเสียงที่ฟังประชาชนมากขึ้น และฝ่ายการเมืองฟังกันเองมากขึ้น ส่วนที่ใครบอกว่ามาถึงทางตัน ไปจนถึงเรื่องของรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตนมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันจะมีทางออก
“จากนี้ประเทศไทยน่าจะไปได้ดีกว่า 5 ปีที่ผ่านมา เพราะประชาชนสามารถโต้แย้ง สามารถแสดงความเห็นได้แล้ว ใครคิดจะทำทุจริต จะต้องถูกตีแผ่ วิจารณ์ อภิปราย คนที่ได้ประโยชน์คือประชาชน ดีกว่าไม่มีการตรวจสอบ จากนี้มันจะไม่มีสภาฝักถั่ว อย่างไรเสีย ประชาธิปไตยก็ดีกว่า”
อนุทินยังกล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นว่า “กลุ่มแฟนคลับการเมืองที่เขายึดมั่นถือมั่น เขาจะบอกว่าผมทำผิดสัญญา ผมยืนยันว่า 4 ข้อเจตนารมณ์ที่ผมตั้งเป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล ผมยังไม่ผิดคำพูดสักข้อ รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย เพียงแต่มันเป็นกระแสชิงชังขึ้นมา ผมรับฟังหมด ทั้งนี้หนึ่งใน 4 ข้อที่ผมตั้งเป็นเงื่อนไขร่วมรัฐบาลคือเรื่องเสถียรภาพ ถ้าประชาธิปัตย์ไม่มาร่วมกับพลังประชารัฐ ให้ผมไปร่วมกับท่าน เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ผมจำเป็นต้องปฏิเสธ เพราะมันไม่มีเสถียรภาพ ตอนนี้คนการเมืองมีความกดดันมาก แต่เราพยายามทำให้มันเดินต่อไปได้ ทุกคนมาอยู่ในสภา ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด และผมก็เห็น ส.ส. ทุกพรรคพูดคุยกันปกติ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ”
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์