วันนี้ (4 สิงหาคม) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่กระทรวงสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ลักลอบขายยากลุ่มรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด ผ่านสื่อออนไลน์ผิดกฎหมาย ทั้งฟาวิพิราเวียร์และโมลนูพิราเวียร์
หลังจากที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) ได้รับเรื่องร้องเรียนและทำการสืบสวน พบว่ามีการขายยาดังกล่าวผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จึงได้สั่งซื้อและตรวจสอบที่ตั้งของผู้ตัดส่ง จนเข้าตรวจค้นบ้านพักซอยลาดพร้าว 80/3 พบว่าเป็นสถานที่จัดเก็บและกระจายสินค้า และสามารถจับกุม ฉลวย แม่ค้าคนกลาง พร้อมของกลางเกือบ 200 กล่อง มูลค่าประมาณ 9.5 ล้านบาท
มีการขยายผลตรวจค้นบ้านพักในซอยราชพฤกษ์ 9 สามารถจับกุม ประเสริฐ พร้อมของกลางเป็นยามูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ซึ่งบุคคลนี้เป็นผู้สั่งซื้อยามาจากประเทศอินเดียผ่านตัวแทนขาย โดยกลุ่มผู้นำเข้าไม่เคยมีความรู้หรือใบประกอบวิชาชีพทางเภสัชกรรม จากนั้นขยายผลจนสามารถจับกุม ขนิษฐา ซึ่งเป็นผู้ค้ารายย่อยได้อีกเมื่อวานนี้ (3 สิงหาคม)
อนุทินกล่าวว่า หลังจากสืบทราบว่ามีการนำเข้ายาที่ใช้รักษาโควิด และลักลอบขายผิดกฎหมาย รวมถึงเรมเดซิเวียร์ และสเปรย์พ่นจมูกที่มีส่วนประกอบของไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นการลักลอบนำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกำกับยา และไม่ผ่านการตรวจสอบประสิทธิภาพของยา ทำให้จากการเข้าจับกุม ได้ผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมของกลางเป็นยา 2,300 กล่อง ประมาณ 80,000 เม็ด มูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท โดยผู้ต้องหารู้จักคนในอินเดีย จึงติดต่อช่วยให้ซื้อให้ และลักลอบเข้ามาทางด่านศุลกากรไปรษณีย์ แจ้งวัฒนะ และยาบางส่วนผู้ต้องหาหิ้วติดตัวทยอยนำเข้ามา ซึ่งได้ลักลอบค้าขายมาแล้วกว่า 2 เดือน
ทั้งนี้ จึงขอประชาสัมพันธ์ว่าไม่ควรซื้อยามากินเองผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะยาที่ใช้รักษาโควิดยังถือว่าเป็นยาควบคุมพิเศษ ที่ผู้ผลิตได้ขึ้นทะเบียนการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัย จึงจะสั่งจ่ายยาโดยแพทย์เท่านั้น จึงจะมีความปลอดภัย และการจ่ายยาในกลุ่มนี้ ผู้ที่ซื้อเข้ามาจะยังเป็นรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขที่จะเป็นผู้ติดต่อกับบริษัทยาโดยตรง ยังไม่มีการขายในร้านขายยาหรือสถานพยาบาล
ดังนั้น เรื่องโรคโควิดจะต้องกินยาตามแพทย์สั่ง ซึ่งหากประชาชนไปซื้อมากินเองอาจจะได้ยาปลอมที่ไม่มีคุณภาพ และยาที่จับกุมได้คือยาเถื่อนแน่นอน
ส่วนกรณีที่แพทย์ไม่สั่งจ่ายยาโควิดแล้วจะไปซื้อเองนั้น ถือเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องทั้งทางปฏิบัติและทางกฎหมาย และอาจจะส่งผลอันตรายต่อสุขภาพด้วย ทั้งนี้ การรับยารักษาโควิดจึงขอให้เชื่อในดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ควรไปวินิจฉัยโรคเอง
ส่วนผู้ที่ติดโควิด ถ้าไปพบแพทย์ก็จะได้รับการวินิจฉัยโรคที่ดีที่สุด และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับยา ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ จะได้รับยาหรือไม่ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยด้วย และยืนยันว่ามียาเพียงพอ แพทย์จะไม่เก็บยาไว้แน่นอน
ขณะที่ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ยารักษาโควิดมีเพียงพอ โดยมียาฟาวิพิราเวียร์และโมลนูพิราเวียร์สำรองอยู่จำนวน 2.8 ล้านเม็ด รวมถึงยาเรมเดซิเวียร์ และอยู่ระหว่างจัดซื้อฟาวิพิราเวียร์อีก 10 ล้านเม็ด และโมลนูพิราเวียร์อีก 20 ล้านเม็ด
ด้านตำรวจกล่าวเพิ่มเติมว่า การจับกุมในครั้งนี้ที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย มีความสำคัญเพราะเป็นทั้งต้นทางในการลักลอบนำเข้ามา กลางทางในการเป็นตัวกลางจำหน่าย และปลายทางในการเป็นผู้ค้ารายย่อย และถือเป็นแค่เครือข่ายเดียวเท่านั้น จึงฝากเตือนไปยังประชาชนว่าอย่าสั่งซื้อยาที่ผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม ถือว่ามีความผิดฐานร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท และมีความผิดฐานร่วมกันขายยาเถื่อน หรือยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ