วันนี้ (31 ธันวาคม) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงจุดแข็งและเป้าหมายของพรรคภูมิใจไทยว่า เราเอาผลงานเข้าแลก ผ่านสโลแกน ‘พูดแล้วทำ’ สิ่งที่ไม่ได้พูดก็ทำ เราไม่ได้ดีแต่พูด ซึ่งเป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าอย่างน้อยนี่เป็นเครดิตและความเชื่อถือที่ประชาชนจับต้องได้ และให้คะแนนเราในเรื่องของการปฏิบัติ แม้พูดไม่ค่อยเก่ง พูดไม่ค่อยเพราะ เอาใจคนไม่ค่อยเป็น แต่เวลาทำงานเราทำอย่างเต็มที่ มีผลงานเป็นรูปธรรมจับต้องได้
สำหรับอุดมการณ์ของพรรคภูมิใจไทยจะถูกโยง ต้องการให้เป็นรูปแบบระหว่างพรรคแนวประชาธิปไตยหรืออนุรักษ์นิยม อนุทินกล่าวว่า เราเป็นพรรคปฏิบัติการ ทำตามหน้าที่ วันนี้เราเป็นรัฐบาลก็ทำหน้าที่เป็นรัฐบาล หากวันไหนเป็นฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออยู่กับประชาชนตลอด ในพื้นที่เป็นความรับผิดชอบของ สส. ภูมิใจไทย ไม่ว่าจะสอบได้หรือสอบตกก็อยู่กับประชาชน
ไม่ใช่ว่าอยู่กับประชาชนแค่ตอนเป็น สส. ในทางกลับกันหากไม่ได้รับเลือกเป็น สส. ก็ยิ่งต้องทำงานหนักขึ้น 2-3 เท่า ซึ่งจากสถิติผู้แทนของพรรคภูมิใจไทย เมื่อพลาดการเลือกตั้งครั้งเก่า การเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะกลับมาทำงานให้ทุกคนเต็มที่แบบ 100%
เมื่อถามว่ากลุ่มเป้าหมายของพรรคภูมิใจไทยจะยังคงเป็นภาคอีสานและภาคใต้ใช่หรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ไม่แล้ว ตอนนี้เมื่อดูสัดส่วนในภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง และภาคใต้ รวมถึงภาคอีสาน ไม่ทิ้งห่างกันเท่าไร เราไม่ใช่พรรคท้องถิ่นแล้ว แต่เป็นพรรคที่สามารถมีผู้แทนจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งการทำงานก็ง่าย
เมื่อถามว่าในพื้นที่ภาคใต้ พรรคการเมืองเจ้าของพื้นที่เดิมดูจะอ่อนแอลง พรรคภูมิใจไทยจะขยายพื้นที่ด้วยหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า เราก็เป็นตัวของเราเอง ไม่ใช่ว่าคนอื่นอ่อนแอแล้วเราจะไปโฟกัสตรงนั้น เพราะเราทำงานแบบยั่งยืนและมั่นคงมาโดยตลอด นี่คือวิธีการทำงานของตนและพรรคภูมิใจไทย ส่วนในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นยอมรับว่าไม่ใช่พื้นที่แข็งแรงของพรรคภูมิใจไทย แต่ก็ไม่เป็นไร
เมื่อถามถึงเป้าหมายตัวเลข สส. ของพรรคภูมิใจไทยในสมัยหน้า อนุทินกล่าวว่า ก็คงอยากจะได้ สส. 251 เสียงอยู่แล้ว แต่จะทำได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาที่ลงสมัครพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครเป็นพิธี แต่จะได้รับเลือกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนและพื้นที่ด้วย
อนุทินพร้อมย้ำว่า เท่าที่ตนทำพรรคภูมิใจไทยหลักๆ มา 2 ครั้งในการเลือกตั้ง เห็นว่าพรรคก็เติบโตในระดับเกือบเท่าตัวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นระบบการเลือกตั้งใบเดียวหรือสองใบ หากมองด้วยจิตใจที่เป็นธรรมแล้ว การเลือกตั้งในปี 2566 พรรคภูมิใจไทยโตขึ้นมากและโตทุกเขต ไม่ใช่โตด้วยคะแนนถัวเฉลี่ยแบบปาร์ตี้ลิสต์เหมือนการเลือกตั้งในปี 2562 ซึ่งน่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีของพรรคภูมิใจไทย ที่แต่ละเขตเรามีความแข็งแรงจาก 39 ที่นั่งในปี 2562 มาเป็น 68 ที่นั่งในปี 2566 จึงมองว่าหากเติบโตในระดับเท่านี้ได้ การเลือกตั้งในปี 2570 เราก็น่าจะเติบโตกว่านี้ ซึ่งเราก็ต้องคิดเป็นบวกไว้ก่อน
ในอนาคตคาดหวังว่าจะเป็นพรรคแกนนำหลักในการเป็นนายกรัฐมนตรีบ้างหรือไม่ หรือจะเป็นพรรคตัวแปร อนุทินกล่าวว่า ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งการที่จะเป็นนักการเมือง เมื่อถึงการเลือกตั้งทุกพรรคก็ต้องเสนอผู้ที่เหมาะสมมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค ซึ่งพรรคภูมิใจไทยก็เสนอหัวหน้าพรรคมาโดยตลอด และในส่วนของความเป็นพรรคการเมือง เมื่อถึงการเลือกตั้งเมื่อใดก็ต้องนึกเสมอว่าหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทยจะได้อะไรจากพรรคภูมิใจไทย แต่ระหว่างกลางแบบนี้ไม่ต้องมีใครมากังวล เพราะมันจบเป็นครั้ง ถึงเวลาเลือกตั้งเราก็มาสู้กัน ต่างคนก็ต่างทำแคมเปญ
เมื่อถามถึงประเด็นที่พรรคภูมิใจไทยเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดทำให้มีกระบวนการอื่นๆ พยายามมาขัดขวาง อนุทินกล่าวว่า ยิ่งขวางก็จะยิ่งโต และเดี๋ยวนี้การสื่อสาร การกระจายข่าว หรือฝ่ายที่จ้องจะทำลายไม่ได้ทำได้อยู่ฝ่ายเดียว เดี๋ยวนี้ทุกคนเป็นเจ้าของสถานีทีวีกันหมด สามารถชี้แจงได้เอง เพียงแต่จะทำหรือไม่ทำก็เท่านั้น ทุกคนรู้เท่าทันกันหมด
หากเรามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้เป็นไปตามนั้นจริง ก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะมันพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐาน แต่ถ้าใครทำผิดก็เตรียมตัวตาย หากทำอะไรที่ไม่ถูกต้องแล้วคนออกมาตีแผ่ให้เห็นชัดเจน ทำอย่างไรก็ไม่รอด เพราะฉะนั้นพรรคภูมิใจไทยยึดอยู่อย่างเดียวว่า หากใครไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัว แต่ใครทำผิดก็ตัวใครตัวมัน ไม่ต้องมาขอให้ช่วย แม้แต่คนในพรรคเองทุกคนก็ต้องปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
เมื่อถามว่ามีโอกาสเห็นพรรคภูมิใจไทยลุยสนามเลือกตั้งท้องถิ่นหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า เราไม่ได้ลุยในนามพรรค แต่เรามีเครือข่ายอยู่แล้ว เพราะอย่างที่ตนเคยอธิบายกับสื่อมวลชนไป ว่าบางท่านก็เป็นญาติกัน น้องช่วยพี่ ญาติช่วยญาติ แต่หากมายึดโยงกับพรรคภูมิใจไทย และคนที่มาช่วยอยู่อีกพรรคการเมืองหนึ่ง ถึงแม้อยากจะช่วยเขาก็ช่วยไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะทำให้พรรคคู่แข่งนั้นโตขึ้นมา สุดท้ายมันไม่ได้เป็นประโยชน์กับใคร และไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชนในท้องถิ่นนั้น
พรรคภูมิใจไทยคำนึงถึงประชาชนเป็นหลักอยู่แล้ว เราก็ถอนตัวออกมาในการที่จะส่งในนามพรรค ซึ่งหากเครือข่ายของพรรคภูมิใจไทยท่านใดจะลงสมัครในท้องถิ่น เราก็มีความยินดีที่จะช่วยสนับสนุน ให้กำลังใจให้เขาได้รับชัยชนะ
ทั้งนี้ ตนยอมรับว่าวันนี้ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ในการรับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยในการเลือกตั้ง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ออกหนังสือเวียนให้ข้าราชการมหาดไทยทั่วประเทศวางตัวเป็นกลาง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในเมื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะไปเชียร์ใครออกนอกหน้าก็ไม่เหมาะสม กฎหมายไม่ได้ห้าม แต่มันไม่เหมาะสม