เวที The Trust Blueprint: Designing Integrity for Thailand’s Future พิมพ์เขียวแห่งความเชื่อมั่น ออกแบบอนาคตไทยไร้คอร์รัปชัน ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ‘นครินทร์ วนกิจไพบูลย์’ ชวนวงสนทนาตั้งคำถามถึงการแก้ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยที่ยังไม่ไปไหน เพราะติดอยู่กับรูปแบบของการ ‘ล่าคนผิด’
วิทยากรทั้ง 3 ท่าน ร่วมกันชวนคิดและหาคำตอบว่า เหตุใดการเปลี่ยนระบบคิดจากการ ‘จับโกง’ มาเป็นการออกแบบระบบที่ ‘ไม่เปิดช่องให้โกง’ จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์คอร์รัปชันของไทยได้จริงหรือไม่
Integrity By Design ควบคู่หลักนิติธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ตั้งคำถามกับระบบว่า เรากำลังอยู่ในระบบแบบไหนที่คนโกงอยู่รอดได้เป็น 10 ปีไม่ถูกลงโทษ องค์กรตรวจสอบไม่เคยตรวจสอบได้จริงจัง พร้อมชี้ว่า พื้นฐานสำคัญคือต้องออกแบบระบบให้โกงได้ยาก หรือ Integrity By Design
ดร.กิตติพงษ์ยกตัวอย่างของแนวคิด Open Government ในปี 2008 ของ บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โดยออกกฎหมายเน้นการเปิดเผยข้อมูลเป็นหลัก และเป็นข้อมูลที่ระบบสามารถอ่านได้ ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากขึ้น หากเรามีโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่เชื่อมโยง เข้าถึงได้ง่าย ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ เป็นสิ่งสำคัญ
เขายังทิ้งท้ายว่า แม้เรื่องนี้ยังไม่มีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน แต่ก็มีหลายฝ่ายพยายามทำ และน่าจะต่อยอดได้หากมีการส่งเสริมอย่างเป็นระบบ แต่เรื่องใหญ่จริงคือ หลักนิติธรรม ควรเป็นโครงสร้างพื้นฐานของทุกเรื่อง หากหลักนิติธรรมไม่สมบูรณ์ ประชาธิปไตยก็อยู่ได้ยาก หากประชาธิปไตยมีธรรมาภิบาล ก็จะมีเขี้ยวเล็บไว้ป้องกันการทุจริต เรื่องเหล่านี้ต้องมองไปด้วยกันโดยไม่แยกส่วน
เปิดเผย-เชื่อมโยงข้อมูล หัวใจสำคัญปราบทุจริต
ขณะที่ รศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค (KRAC) ให้ความเห็นว่า ความสำคัญของการออกแบบระบบซื่อสัตย์ แทนการไล่จับคนโกง เหตุผลสำคัญคือการขาดข้อมูลที่ชัดเจน ปัจจุบันฐานข้อมูลในไทยที่มีอยู่ประมาณ 25 หน่วยงาน ยังคงกระจัดกระจาย เช่น ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างในกรมบัญชีกลาง ที่ยังไม่โยงไปถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือปัญหาเกี่ยวกับมูลนิธิที่มีความเสี่ยงเป็นแหล่งฟอกเงิน แต่หากขาดการเชื่อมโยงก็ไม่เห็นภาพ ทุกวันนี้ข้อมูลเข้าถึงยาก ไม่อัปเดต ตรวจสอบย้อนหลังไม่ได้
เขามอบข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยเน้นถึงการเปิดเผยข้อมูลว่า ใครคือเจ้าของกิจการหรือผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือบริษัทต่างๆ ในเมื่อข้อมูลส่วนนี้ไม่เชื่อมโยงกัน จึงเกิดปรากฏการณ์ ‘สีเทา’ เช่นทุกวันนี้ หากเชื่อมโยงข้อมูลส่วนนี้ได้ จะเห็นว่าใครเป็นเจ้าของแท้จริงที่เป็นผู้ถือเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศใน Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ให้ความสำคัญ
ระบบควรเอื้อให้การทำดีง่ายกว่าการโกง
ด้าน ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ เปิดเผยว่า กทม. ได้แบ่งขั้นตอนออกเป็น การตรวจสอบ ที่ได้ตั้งหน่วยงานกลางเพื่อรับร้องเรียน เพิ่มระบบติดตาม และทำงานร่วมกับ 3 ป. (ป.ป.ช., ปปท. และ ปปป.)
นอกจากนี้ ยังได้แก้ปัญหาเรื่องการบริการประชาชน โดยปรับเป็นบริการและการจ่ายเงินออนไลน์มากขึ้น เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจหรือใช้เงินสด ส่วนปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง กทม. ได้เปิดเผยข้อมูลมากขึ้น มีผู้ช่วยตรวจสอบและเชื่อมโยง เปรียบเทียบราคากับกรมบัญชีกลาง อีกทั้ง กทม. ยังเป็นหน่วยงานรัฐเดียวในไทยที่ทำงานร่วมกับ Open Contracting Data Standard (OCDS) ท้ายสุดคือปัญหาการเรียกรับ โดยการนำหาบเร่เข้าระบบที่ทำร่วมกับธนาคารกรุงไทย เพื่อลดการเรียกเก็บโดยเทศกิจ
ศานนท์ยกตัวอย่างกรณีของ กทม. ที่ใช้งบประมาณยาก ความแข็งตัวของระบบเช่นนี้ได้ทำให้เกิดการทุจริต เพื่ออำนวยความสะดวกบางอย่าง ตลอดจนกรณีการทำราคากลางของลู่วิ่งตามนโยบายของผู้ว่าฯ กทม. สะท้อนว่า หัวใจสำคัญคือ ต้องทำระบบให้การทำสิ่งที่ถูกต้องง่ายกว่าการทำสิ่งที่ผิด


