วันนี้ (4 มิถุนายน) ที่อาคารรัฐสภา อังคณา นีละไพจิตร สว. กล่าวถึงกรณีที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงเหตุผลการวีโต้ หรือคัดค้านมติแพทยสภา กรณีการรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
อังคณากล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับทักษิณหรือราชทัณฑ์ มติของแพทยสภานั้นมีหน้าที่กำกับดูแลแพทย์ ดังนั้นมติที่ออกมาจึงเป็นการกล่าวถึงการป่วยของ
ทักษิณว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่ในการเข้ารักษาแบบพิเศษที่ชั้น 14 จากผู้เชี่ยวชาญที่เคยไปโรงพยาบาลของราชทัณฑ์ ก็จะทราบว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีความทันสมัยและสามารถรักษาโรคซับซ้อนได้
ดังนั้นหากกรณีของทักษิณไม่มีความเจ็บป่วยจนถึงขั้นต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ในการรักษาตัวเช่นที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มองว่าเรื่องนี้อาจถูกเลือกปฏิบัติต่อนักโทษ หรือผู้ต้องขังรายอื่น หากย้อนกลับไปดูจะพบว่าบางคนใช้เครื่องช่วยหายใจก็มี หรือบางรายเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายออกไปทำคีโมข้างนอกก็กลับเข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์
“คุณทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤต เพราะการป่วยวิกฤตต้องถึงขั้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่สามารถรักษาได้ แต่ปกติแล้วเมื่อโรงพยาบาลราชทัณฑ์รักษาไม่ได้ ก็จะขอให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามารักษา”
อังคณามองว่า การวีโต้ของสมศักดิ์นั้นไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลฎีกาในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ และจริงๆ แล้วสมศักดิ์ไม่ควรจะวีโต้ เพราะหากไม่เคารพต่อมติของแพทยสภาที่ประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความอาวุโส มองว่าจะเป็นบรรทัดฐาน ที่เมื่อมีอะไรแล้วไปฟ้องรัฐมนตรี และรัฐมนตรีวีโต้กลับ จะมีแพทยสภาไว้ทำไม และใครจะเป็นผู้กำกับจริยธรรมแพทย์ให้มีมาตรฐานเดียวกัน
“ที่จริงแล้วสังคมตั้งคำถามและข้อสงสัยมานานแล้วว่าคุณทักษิณป่วยจริงไหม เพราะว่าออกจากโรงพยาบาลคุณทักษิณก็ทำกิจกรรมอะไรต่อมิอะไรได้ สิ่งเหล่านี้ควรเปิดเผย เมื่อคุณอ้างสิทธิความเป็นส่วนตัว ที่จะไม่บอกว่าเป็นโรคอะไร แต่ความเป็นบุคคลสาธารณะ คุณทักษิณควรที่จะสละความเป็นส่วนตัว เพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย” อังคณากล่าว
สำหรับการไต่สวนของศาลฎีกาในวันที่ 13 มิถุนายนที่จะถึงนี้ อังคณากล่าวว่า ยังเดาใจศาลไม่ได้ แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก ทักษิณได้จำคุกหรืออยู่ในสภาพที่เจ็บป่วย และจำเป็นต้องได้รับการดูแลพิเศษ เช่น ชั้นที่ 14 จริงหรือไม่ มองว่าศาลจะดูในลักษณะเช่นนี้ พร้อมระบุว่า การตรวจสอบของแพทยสภา ถูกนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานว่า ทักษิณไม่ได้มีภาวะอาการเจ็บป่วยถึงขั้นที่จะต้องเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แต่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ปกติก็สามารถรักษาได้ คิดว่าศาลจะชั่งน้ำหนักดูเรื่องสัดส่วน และหวังว่าศาลจะพิจารณาโดยนำกรณีอื่นมาพิจารณาเพื่อเป็นบรรทัดฐานว่าต่อไปเมื่อมีนักโทษท่านอื่นที่ไม่ใช่นายทักษิณที่เจ็บป่วยมาก และขอรักษาตัวนอกกรมราชทัณฑ์ จะเป็นไปได้หรือไม่
“หากไม่มีภาวะเจ็บป่วยถึงขนาดนั้น ตรงนี้ต้องระวัง คนที่เป็นบุคคลสาธารณะ เป็นพ่อนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จริงหากคุณทักษิณเปิดเผยว่าเจ็บป่วยอะไร ก็คงไม่มีใครสงสัย”
ส่วนในวันที่ 13 มิถุนายนนี้การเมืองจะถึงจุดเปลี่ยนเลยหรือไม่ อังคณากล่าวว่า อาจไม่ถึงจุดหักเหที่จะเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จากที่ควรเปลี่ยนมานานแล้ว เพราะปัญหาจากการบริหารประเทศของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เช่นปัญหาเรื่องการตัดสินใจ และปัญหารอบด้านทั้งที่กัมพูชา และ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่แก้ไม่ได้สักอย่างเดียว ส่วนนี้นายกรัฐมนตรีควรพิจารณาตนเองด้วย