×

ชำแหละ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ทำไมกลไกรับมือน้ำท่วม ไม่สามารถรับมือน้ำท่วม

05.12.2025
  • LOADING...
ชำแหละ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ทำไมกลไกรับมือน้ำท่วม ไม่สามารถรับมือน้ำท่วม

น้ำท่วม ถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อประเทศไทยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จนเรียกได้ว่าประเทศไทย ‘มีประสบการณ์อย่างมาก’ ในการเผชิญกับน้ำท่วม

 

หลายพื้นที่ของประเทศเผชิญกับน้ำท่วมแทบทุกปี และเหตุการณ์ร้ายแรงชนิด ‘มหาอุทกภัย’ ก็เกิดขึ้นหลายครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพฯ และหลายจังหวัด ปี 2554 และกรณีน้ำท่วมภาคเหนือเมื่อปลายปี 2567

 

กรณีล่าสุด คือสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นใน 9 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งปริมาณฝนที่ตกหนักเป็นประวัติการณ์ ทำให้มวลน้ำมหาศาลไหลท่วมเมืองอย่างรวดเร็ว พรากชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมากมายไปในพริบตา

 

ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมในแต่ละปี สูงแตะหลักหลายหมื่นล้านบาท โดยที่ผ่านมา รัฐบาลหลายยุคหลายสมัย พยายามดำเนินนโยบายเพื่อป้องกันปัญหา เช่น การทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับโครงการบริหารจัดการน้ำ

 

แต่ถึงกระนั้น เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงเช่นที่ อ.หาดใหญ่ก็ยังคงเกิดขึ้น ในขณะที่การเตือนภัยและรับมือกับสถานการณ์ของรัฐบาลก็ยังคงล่าช้า จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง

 

ท่ามกลางวังวนของภัยพิบัติที่ยังไร้ทางออกนี้ ความจริงที่น่ากังวลมากที่สุด คือสถานการณ์เหล่านี้ กำลังกลายเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า “ระบบรับมือภัยพิบัติของประเทศกำลังล้มเหลว” ในช่วงเวลาที่ปัจจัยจากภาวะโลกรวน หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลง กำลังทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติ โดยเฉพาะน้ำท่วม อาจมีความรุนแรงและถี่มากขึ้น

 

การเมืองทำ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ล้มเหลว?

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นตลกร้าย คือก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงใน อ.หาดใหญ่ พื้นที่นี้กำลังมีการพัฒนา ‘หาดใหญ่โมเดล’ หรือโมเดลบริหารจัดการน้ำท่วม โดยศูนย์วิจัยภัยพิบัติทางธรรมชาติภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่ง
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI (Thailand Development Research Institute) ระบุในบทความ Our broken system fuels flood crisis ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ยกให้หาดใหญ่โมเดล เป็นตัวอย่างโมเดลจัดการน้ำท่วมที่เป็น ‘ความสำเร็จระดับท้องถิ่น’

 

ผู้เขียนบทความชี้ว่า โมเดลนี้ “เป็นความสำเร็จจากการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ การทำงานเป็นทีม และการเตรียมพร้อม” โดยมีทั้งการใช้แบบจำลองขั้นสูงเพื่อประเมินความเสี่ยงและคาดการณ์น้ำท่วม ขณะเดียวกันยังมีคณะทำงานรับมือภัยพิบัติของทางศูนย์ฯ ที่ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบการเตือนภัยล่วงหน้า การวางแผนรับมือความเสี่ยง และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชนท้องถิ่น

 

ซึ่งคณะทำงานนี้ ‘รายงานตรงต่อผู้ว่าราชการจังหวัด’ และทำหน้าที่เป็นระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงอุทกภัยได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที

 

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่สำคัญของหาดใหญ่โมเดล ยังมีหลายด้าน เช่น หากขาดเงินทุนระยะยาวที่สม่ำเสมอ ศูนย์วิจัยภัยพิบัติฯ ก็จะประสบปัญหาอุปกรณ์ไม่เพียงพอและข้อมูลที่ล้าสมัย โดยการลาออกของพนักงานก็มีบ่อยครั้งเนื่องจากโอกาสทางอาชีพที่จำกัด ซึ่งกระทบต่อความต่อเนื่องของคณะทำงาน เช่นเดียวกับการย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาอย่างสม่ำเสมอ

 

ด้าน ณัฐสิฏ รักษ์เกียรติวงศ์ นักวิจัยอาวุโสของ TDRI หนึ่งในผู้เขียนบทความนี้ และเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่เช่นกัน ได้เผยแพร่บทความภายหลังสถานการณ์บรรเทาลง โดย ‘ชำแหละ’ จุดอ่อนและปัญหา ที่ทำให้หาดใหญ่โมเดลล้มเหลว และเกิดวิกฤตน้ำท่วมในรอบนี้

 

ณัฐสิฏ ชี้ว่าที่ผ่านมา หาดใหญ่มีโมเดลที่ดีในการจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ โดยในอดีตช่องทางการสื่อสารระหว่างศูนย์วิจัยภัยพิบัติฯ กับฝ่ายการเมือง และผู้ว่าราชการจังหวัด ค่อนข้างเสถียร เป็นความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายวิชาการ กับฝ่ายการเมือง และมีเรื่องของความเชื่อมั่นระหว่างกันมากพอสมควร

 

แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนตัวผู้บริหารท้องถิ่นจึงเกิดเป็น ‘ช่องว่าง’ ของการสื่อสารขึ้น

 

“ปีที่ผ่านมาหาดใหญ่ก็เจอกับน้ำมากเป็นพิเศษ ซึ่งเราพบว่าช่องทางการสื่อสารนี้ไม่ได้ผลเหมือนเมื่อก่อน เพราะตัวบุคคลถูกเปลี่ยนไป การจัดอันดับความสำคัญของฝ่ายการเมืองแต่ละคนมีความต่างกัน ทำให้ระบบล้มเหลวได้ง่าย”

 

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาทางศูนย์วิจัยภัยพิบัติฯ ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณไม่เพียงพอ เช่น การจำลองการไหลของน้ำ ยังใช้เพียงคอมพิวเตอร์รุ่นธรรมดาในการทำงาน แม้นักวิจัยจะพยายามทำหน้าที่เต็มกำลัง

 

“ปัญหาของหาดใหญ่โมเดลคือ ช่วงเปลี่ยนคน เปลี่ยนฝ่ายการเมือง หากไม่มีการทำเรื่องนี้ให้เป็นโครงสร้างเชิงสถาบัน หรือทำให้เป็นระบบที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการระหว่างฝ่ายวิชาการและภาคการเมือง เมื่อความสัมพันธ์ตัวบุคคลหายไป คำแนะนำจากฝ่ายวิชาการไปไม่ถึงฝ่ายการเมือง”

 

จุดอ่อนวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่

 

เนื้อหาบทความ ชี้ว่าจุดอ่อนที่ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่เลวร้าย มาจากภาวะโลกรวน สภาพอากาศที่แปรปรวนจนทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่มากผิดปกติ กอปรกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่น้ำจากทุกที่จะไหลผ่าน จึงกลายเป็นชนวนเร่งให้เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่เมื่อเกิดฝนตกหนัก

 

แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายจนกลายเป็นหายนะ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ประชาชนไม่ทันกักตุนอาหาร หรือขนย้ายสิ่งของหรือพาผู้เปราะบางย้ายออกไปศูนย์พักพิงได้ทัน

 

“การไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อรับมือกับสถานการณ์ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น จึงถูกยกระดับกลายเป็นวิกฤตอย่างรวดเร็ว ซึ่งในสถานการณ์วิกฤต แผนหรือแนวปฏิบัติแบบเดิมที่เคยมีมาไม่สามารถใช้ได้แล้ว” ณัฐสิฏ ระบุ

 

ทั้งนี้ พื้นฐานของการจัดการวิกฤต ต้องมีระบบ ‘3 C’ ได้แก่ Command (การบังคับบัญชา) Control (การควบคุม) และ Capability (ขีดความสามารถ) ซึ่งต้องทำงานได้ และมีการตอบสนองอย่างทันท่วงที โดยทั้ง 3C นี้จะต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่ยามที่สถานการณ์ปกติ แต่เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้สถานการณ์จึงกลายเป็นหายนะในที่สุด”

 

จุดเปลี่ยน 12 ชั่วโมงก่อนน้ำท่วม

 

เขาชี้ว่าจุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือช่วงเวลา 12 ชั่วโมงก่อนที่น้ำท่วม โดยกรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศแจ้งเตือนตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน ว่าจะมีฝนตกหนัก ขณะเดียวกัน เพจ Facebook หนึ่ง ได้มีการแจ้งเตือนภัยพิบัติล่วงหน้าอย่างแม่นยำ แต่กลับมีหน่วยงานรัฐออกมาบอกว่าเป็น ‘Fake news’

 

“ในทางกลับกันหากเรื่องฝนตกหนักถูกกระจายออกไปก็จะเป็นเรื่องดีที่จะสร้างการรับรู้ให้ประชาชน เพื่อที่การแจ้งเตือนที่จะตามหลังมา จะยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลสามารถจัดการได้หลายอย่างก่อนที่ฝนก้อนมหึมานั้นจะมา” เขากล่าว

 

จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกจุด คือ “คำเตือนให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์ไม่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที” สาเหตุจาก 2 ปัญหา คือ

 

1.ช่วงก่อนหน้าน้ำท่วม นายกเทศมนตรีใช้ต้นทุนทางการเมืองไปมากกับการยืนยันว่า “น้ำจะไม่ท่วมหาดใหญ่” จึงยากที่จะยอมรับว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงต่อไปจะเป็นสิ่งตรงข้ามกับที่ตัวเองได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

 

ส่วนข้อถกเถียงเรื่องอำนาจการยกธงแดงนั้น ระบบธงแดง ไม่ใช่ระบบทางการ ไม่ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมาย แต่เป็นกลไก และแนวปฏิบัติที่เทศบาลหาดใหญ่ได้ดำเนินการกันมานาน จึงเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงของเทศบาลหาดใหญ่ในการแจ้งเตือนประชาชน

 

2.ระบบเตือนภัยไม่มีความเข้าใจร่วมกัน เช่น ในวันที่ 23 พฤศจิกายน เวลาตี 4 ชาวหาดใหญ่ได้รับข้อความแจ้งเตือนว่า “น้ำท่วมใหญ่กำลังจะมา” โดยข้อความถูกส่งมาในลักษณะที่ว่า “น้ำจะท่วมสูง 1.5 เมตร ภายใน 6 โมงเย็น ให้คนที่อยู่ในพื้นที่ต่ำอพยพไปอยู่พื้นที่สูง”

 

สำหรับหลายพื้นที่ นี่ไม่ใช่การเตือนล่วงหน้า 12 ชั่วโมง แต่อาจจะเป็นเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะ 8 โมงเช้าของวันนั้น หลังได้รับข้อความแจ้งเตือน 4 ชั่วโมงหลายพื้นที่ใน อ.หาดใหญ่ ก็ถูกตัดขาดเรียบร้อย ประชาชนไม่สามารถอพยพไปไหนได้ ข้อความมาถึงประชาชนสายเกินไป

 

“คำเตือนที่ได้ผลจะต้องชัดเจน มีความเฉพาะเจาะจง มีการอธิบายความหมายกับคนในพื้นที่ให้เข้าใจล่วงหน้าในยามปกติว่าแต่ละคำ หมายถึงอะไร จะตีความข้อความอย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันน้ำทะลัก ประชาชนไม่ทราบว่าระดับน้ำ 1.5 เมตรวัดจากไหน ริมตลิ่ง ถนน หรือหน้าบ้าน และตรงไหนคือพื้นที่ต่ำ พื้นที่สูงที่จะอพยพได้ สิ่งเหล่านี้เรียกว่า Soft Infrastructure เป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาล่วงหน้า เพราะต้องมีการลงพื้นที่ทำความชี้แจงทำความเข้าใจ และรับ feedback กลับมาเป็นรายพื้นที่ไป เมื่อไม่มีความเข้าใจร่วมนี้ คนก็ไม่รู้ว่าจะให้คนตอบสนองอย่างไร” ณัฐสิฏ กล่าว

 

ทั้งนี้ การแจ้งเตือนจะได้ผลดีต่อเมื่อเงื่อนไขต่างๆ ถูกเตรียมพร้อมอย่างถูกต้อง เช่น หากสั่งอพยพก็ต้องมีการกำหนดที่ตั้งของศูนย์อพยพไว้ล่วงหน้า มีการเตรียมความพร้อมของอาหาร เชื้อเพลิง และบุคลากรสำหรับงานบริหาร การดูแลสุขภาพของผู้อพยพ และความปลอดภัย ต้องมีระบบขนส่งรองรับการพาคนจากพื้นที่เสี่ยงเข้าสู่ศูนย์อพยพ

 

ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคทรีนา ปี 2005 ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ ของสหรัฐฯ ทางการได้จัดเตรียมรถบัส 2,000 คันเพื่ออพยพประชาชน 2 หมื่นคนไปยังซูเปอร์โดม และถึงขั้นเคาะประตูบ้านเพื่อให้ทุกคนออกจากพื้นที่เพื่อลดการสูญเสียชีวิต

 

“ปัญหาใหญ่ของไทยคือไม่มีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เพราะเมื่อเวลาเกิดเหตุแล้วเราทำอะไรได้น้อยมาก หาดใหญ่คน 4 แสนคน อย่างน้อยจะต้องมีรายชื่อกลุ่มเปราะบางในพื้นที่แล้วว่า บุคคลเหล่านี้จะต้องออกจากพื้นที่เสี่ยงให้ได้ นำคนป่วย คนแก่ คนพิการ เด็กออกไปก่อน และให้ข้อมูลกับประชาชนทั่วไปด้วยว่า เส้นทางการอพยพควรใช้เส้นทางไหน แต่นี่แทบทุกคนติดในบ้านหมด”

 

ไร้การเตรียมรับมือวิกฤตในยามปกติ

 

นอกจากนี้ ณัฐสิฏชี้ว่า จุดอ่อนของไทยคือการที่ ‘ไม่มีการเตรียมการในยามปกติ’ โดยมาตรการอย่าง พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ความสำคัญกับช่วงเกิดเหตุการณ์และหลังเกิดเหตุการณ์ นอกจากการทำ Gray Infrastructure เช่น สร้างเขื่อน ขุดคลองแล้ว นอกนั้นไม่มีการเตรียมความพร้อมอะไรทั้งสิ้น

 

“การที่เราไม่มีระบบ Command, Control, and Capability ทำให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ไม่รู้บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเองว่าเวลาเกิดเหตุแต่ละคนจะต้องทำอย่างไร ประสานงานกันอย่างไร รวมถึงยุทธวิธี (Game Plan) และระเบียบกระบวนการ (Protocols) ต่าง ๆ ที่จะช่วยลดการตัดสินใจในภาวะเสี่ยง เช่น หากทีมช่วยเหลือเจอน้ำเชี่ยวกราก ควรทำอย่างไร ลุยต่อ หรือหยุดภารกิจไว้ก่อน ซึ่งหากมีโปรโตคอล ผู้ปฏิบัติงานจะรู้เลยว่าต้องทำอย่างไร จัดสรรทรัพยากรอย่างไร อาหาร-กำลังคนจะนำเข้ามาอย่างไร”

 

ขณะเดียวกัน เขาชี้ว่าจะต้องมีการฝึกทักษะ และฝึกซ้อมทำ War Game จำลองสถานการณ์ เพื่อให้รู้ว่าแผนการมีจุดอ่อนอย่างไร เพื่อให้เราปรับแผนได้ถูกต้อง ให้คนปฏิบัติการคาดการณ์ได้ว่าหากเขาตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดไป ผู้ร่วมปฏิบัติงานคนอื่น หรือหน่วยอื่น จะตอบสนองอย่างไร ทำให้ประสานงานในภาวะอันตรายได้ผลดีขึ้นมาก รวมทั้งการมอนิเตอร์สถานการณ์อย่างไม่เป็นระบบทำให้การรับรู้สถานการณ์เป็นศูนย์ ไปจนถึงเกิดความล้มเหลวในการจัดการอุปกรณ์ให้ความช่วยเหลือ และบรรเทาทุกข์อย่างเรือ เจ็ทสกี อาหาร กำลังคน

 

“ในขณะนี้มีการพูดถึงข้อเสนอ Single Command กันมาก แต่หากไม่มี Game Plan ที่มีการซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี และไม่มีขีดความสามารถเชิงองค์กร การมี Single Command ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะให้คำสั่งไปแล้ว คนที่รับคำสั่งมาก็ไม่มีขีดความสามารถที่จะไปปฏิบัติต่อได้อยู่ดี” ณัฐสิฏ กล่าว

 

หลังน้ำลดควรทำอะไร?

 

ณัฐสิฏ ระบุว่า สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการทำรายงานข้อเท็จจริงเชิงลึกที่ไม่กล่าวโทษใคร เพื่อค้นหาความจริง ซึ่งอาจตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ ภายใต้รัฐสภา ให้นักวิชาการลงพื้นที่สัมภาษณ์ทุกคนที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ถึงการตัดสินใจทีละขั้น อะไรเกิดขึ้นจริง อะไรเป็นปัญหา เพื่อที่จะได้นำไปเป็นข้อมูลในการปรับปรุงและวางแผนเตรียมความพร้อมต่อไป

 

ในด้านของการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือนั้น เขาเทียบกับเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคทรีนา ที่ผ่านมา 20 ปีแล้ว จนถึงวันนี้ยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ กิจการที่ปิดตัวลงหลายแห่ง ทุกวันนี้ยังไม่ได้กลับมาเปิดเพราะว่าขาดเงินทุนในการมาทํากิจการใหม่ เพราะฉะนั้นหากไม่อัดฉีดเงินทุนเข้ามาในระบบ หาดใหญ่คงยากที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้

 

นอกจากนี้ยังต้องเร่งดูแลกลุ่มคนตัวเล็กตัวน้อยในพื้นที่ ที่หลายคนถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างจริงจัง

 

เสนอตั้งผู้ว่าฯ ซูเปอร์ซีอีโอ-กองกำลังรับมือภัยพิบัติ

 

ณัฐสิฏ กล่าวถึงข้อเสนอในการรับมือภัยพิบัติเช่นน้ำท่วม ท่ามกลางภาวะโลกรวนที่เลวร้ายลง โดยมีทั้งการเร่งผลักดัน พ.ร.บ.ยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย เพื่อให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดแบบ ‘ซูเปอร์ซีอีโอ’ ซึ่งอาจจะเริ่มในกลุ่มจังหวัดและลุ่มน้ำที่มีความเสี่ยงสูง และผู้ว่าฯ ซูเปอร์ซีอีโอ จะมีสถานะเป็น “ปลัดบัญชาการ” ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ารัฐมนตรี ที่จะเข้ามาเข้ามาทําเรื่องการจัดการน้ำท่วมโดยเฉพาะ และสามารถสั่งการหน่วยงานต่างๆ ได้

 

ขณะเดียวกัน เขาเสนอว่า ไทยควรมีกลไกใหม่ ๆ อย่างกองกำลังรับมือภัยพิบัติเหมือนในต่างประเทศ ที่มีความคล่องตัวสูง ไม่อยู่ภายใต้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติในประเทศถี่ขึ้น และมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งหน่วยงานที่มีความพร้อมในด้านบุคลากรมากที่สุด คือกองทัพ ที่มีกำลังพลในวัยฉกรรจ์ แข็งแรง ผ่านการฝึกสมรรถะทางร่างกายมาแล้ว หากมีการอบรมทหารที่อยู่ระหว่างประจำการ เป็นหน่วยพิเศษขึ้นมาก็จะทำให้หน่วยนี้มีขีดความสามารถสูงในการอพยพคน การให้ความช่วยเหลืออย่างถูกวิธี การเข้าไปในพื้นที่อันตราย หรือแม้แต่การปฏิบัติการด้านลอจิสติกส์ ในลักษณะเดียวกับ National Guard หรือกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิในสหรัฐฯ

 

“เมื่อทหารประจำการผ่านการฝึกฝนแล้ว หากปลดประจำการออกไป คนเหล่านี้จะมีทักษะหลาย ๆ อย่างด้วย เช่นอาจจะมีทักษะการพยาบาล ก็สามารถนำทักษะไปสมัครงานผู้ช่วยพยาบาล ดูแลคนเจ็บคนป่วยต่อได้ ขณะที่ภาครัฐเองก็ไม่ต้องเสียงบประมาณอะไรมากในการจัดตั้งกองกำลังรับมือภัยพิบัติ ซึ่งถือเป็นเรื่อง Win-Win ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์”

 

สำหรับรูปแบบการบริหารนั้น เขามองว่า กองทัพ ควรเป็นเจ้าของหน่วยปฏิบัติการ โดยทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้ง ปภ. กระทรวงสาธารณสุข ท้องถิ่น และภาคประชาสังคม แต่ปฏิบัติการภายใต้กรอบอำนาจของผู้ว่าซูปเปอร์ซีอีโอ ที่จะเป็นผู้รับผิดชอบเชิงนโยบาย

 

ทั้งนี้เมื่อเวลาเกิดภัยพิบัติในพื้นที่ใดขึ้นในประเทศ ก็จะส่งกองกำลังชุดนี้ ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้ความช่วยเหลือภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ลงพื้นที่ตอบโต้เหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที

 

ภาพ: REUTERS/Weerapong Narongkul

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising