ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิง (Passive Fund) ซึ่งสามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท เช่น ตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และตราสารหนี้ ใช้เงินลงทุนน้อยและมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายต่ำ บริหารจัดการโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) โดยต้องการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีมากที่สุด และข้อดีอีกอย่างของ ETF คือเป็นกองทุนรวมดัชนีที่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้น โดยได้ราคาซื้อขายแบบ Real Time อีกด้วย
ในกรณีที่เป็น ETF ของไทย เราสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เหมือนหุ้น เพียงแค่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นก็สามารถซื้อ ETF ในประเทศไทยได้ และในกรณีที่เป็น ETF ต่างประเทศ โบรกเกอร์หุ้นบางที่ก็มีเปิดบริการให้ซื้อขาย ETF ต่างประเทศเช่นกัน แต่ข้อจำกัดก็คืออาจจะมีกำหนดขั้นต่ำการเปิดพอร์ตหรือการลงทุน ซึ่งจำนวนอาจจะค่อนข้างสูงและอาจจะเจอค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างแพงและยิบย่อย
แต่ยังมีอีกวิธีการลงทุนใน ETF ต่างประเทศที่ง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ คือการซื้อผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนในกองทุน ETF ต่างประเทศ โดยกองทุนประเภทนี้จะมีผู้จัดการกองทุนของไทยช่วยดูแลด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินทรัพย์การลงทุนหรือการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน จึงเปรียบเสมือนเราไปลงทุนในกองทุน ETF ต่างประเทศเช่นกัน อีกหนึ่งจุดเด่นคือ ขั้นต่ำการลงทุนในกองทุนรวมเหล่านี้ไม่ได้ใช้จำนวนเงินเยอะ บางบริษัทจัดการก็เปิดให้ลงทุนเริ่มต้นเพียงหลักพันเท่านั้น ทำให้มีความสะดวกสบายมากกว่า
หากพูดถึง ETF ต่างประเทศที่โด่งดังมากที่สุดที่คนทั่วโลกต่างกล่าวขานถึงคงไม่พ้น ETF ทั้ง 5 ตัวของ ARK Invest ซึ่ง ETF นี้แตกต่างจากทั่วไปที่เรารู้จักกัน เนื่องจากโดยปกติแล้ว ETF จะเป็นกองทุนที่บริหารแบบเชิงรับ มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงนั้นๆ แต่ ETF ทั้ง 5 กองทุนนี้ เป็น ETF ที่มีการบริหารแบบเชิงรุกที่มุ่งลงทุนในกลุ่มบริษัทที่มีนวัตกรรมล้ำหน้า โดย ARK Invest นั้นมีปรัชญาการลงทุนหรือวิธีการคัดเลือกสินทรัพย์โดยเน้นการลงทุนระยะยาวที่ลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ หรือที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย
- ARK Innovation ETF (ARKK) ลงทุนในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ
- ARK Autonomous Technology & Robotics ETF (ARKQ) ลงทุนในเทคโนโลยีการขนส่ง หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ
- ARK Next Generation Internet ETF (ARKW) ลงทุนในธุรกิจด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี
- ARK Genomic Revolution ETF (ARKG) ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมสุขภาพและพันธุกรรมเพื่อโอกาสในการรักษาโรค
- ARK Fintech Innovation ETF (ARKF) ลงทุนในธุรกิจด้านนวัตกรรมการเงิน
ในปี 2020 ที่ผ่านมา ทั้ง 5 กองทุนนี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 100% อย่างไรก็ตาม ในปี 2021 ในขณะที่ดัชนีวัดผลของหุ้น เช่น S&P 500 ของสหรัฐฯ และดัชนี MSCI ACWI ที่วัดผลหุ้นทั่วโลก ปรับตัวขึ้นไปมากกว่า 10% แต่ทั้ง 5 กองทุนนี้ส่วนใหญ่กลับสร้างผลตอบแทนที่ต่ำกว่าหรือติดลบ สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อเราศึกษากองทุน ARK โดยใช้มุมมองของ Factor Investing วิเคราะห์ว่าหุ้นส่วนใหญ่ที่ ARK ลงทุนเป็นหุ้นสไตล์ไหน เราจึงสามารถสรุปได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้
- หุ้นกลุ่มเติบโต โดยบริษัทเหล่านี้มีโอกาสเจริญเติบโตของรายได้ที่สูงในอนาคต ซึ่งราคาของหุ้นกลุ่มนี้จะมีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง
- หุ้นกลุ่มผลกำไรยังไม่สูง เห็นได้จากที่บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่เพิ่งเกิดใหม่ ซึ่งต่างจากกลุ่มบริษัทที่มั่นคงแล้วและมีกำไรค่อนข้างสูง
- หุ้นกลุ่มขนาดเล็ก ถึงแม้ว่า ARK มีการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เช่น Tesla หรือ Square ในปริมาณที่มากก็ตาม
- หุ้นกลุ่มสภาพคล่องไม่สูง เห็นได้จากมีการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กจำนวนมาก
จากรูปด้านล่างซ้ายมือ เมื่อเราวิเคราะห์องค์ประกอบของความเสี่ยงของ ARKK เราพบว่าความเสี่ยงของ ARKK ราวๆ 50-60% เกิดจากปัจจัย (Risk Factor) เช่น ปัจจัยอุตสาหกรรม ตลาดโลก ค่าเงิน หรือปัจจัยจากสไตล์การลงทุน ส่วนที่เหลือราวๆ 40-50% (พื้นที่สีเขียว) เกิดจากปัจจัยความเสี่ยงเฉพาะตัวของหุ้นที่ไปลงทุน (Specific) ในส่วนของผลตอบแทนตามรูปกราฟขวามือ
เมื่อเราแยกองค์ประกอบของผลตอบแทนของ ARKK ออกมาวิเคราะห์ พบว่าปัจจัยความเสี่ยงเฉพาะตัวของหุ้นที่ไปลงทุน (Specific) สามารถสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างมากเกือบจะทุกปี (จากกราฟแท่งสีเขียว) ซึ่งเป็นตัวสะท้อนถึงความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้นโดยตรง
ถึงแม้ว่าปี 2021 กองทุนของ ARK Invest จะยังสร้างผลตอบแทนได้ต่ำกว่าดัชนีหลักในกลุ่มตราสารทุน เช่น S&P 500 หรือ MSCI ACWI แต่เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนตามแหล่งที่มาพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทุน ARK มีผลตอบแทนน้อยกว่าดัชนีหลักนั้นเกิดจากปัจจัยของ Factor Momentum เป็นส่วนใหญ่
สาเหตุจากช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักกับธีมการลงทุนบนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จึงทำให้หุ้นกลุ่ม Value สร้างผลตอบแทนโดดเด่นได้ดีกว่าตลาด และทำให้ Factor Momentum ให้ผลตอบน้อยลงตามธรรมชาติของมัน ทั้งนี้ ตัววัดบ่งชี้ว่าความสามารถในการเลือกหุ้นของกองทุนยังคงมีประสิทธิภาพไม่ได้ด้อยลงแต่ประการใด
โดยปัจจุบันมีหลาย บลจ. ได้เปิดเสนอขายกองทุน ARK Series เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งนอกจากเปิดครบทั้ง 5 กองทุนให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนแล้ว บริษัทฯ ยังเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ลงทุน โดยเปิดให้ได้เลือกลงทุนถึง 3 รูปแบบ ได้แก่
- ชนิดสะสมมูลค่า ที่เปิดให้ซื้อได้ในทุกช่องทาง รวมถึงผู้สนับสนุนการขายทุกราย อีกทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมการซื้อในช่วงเปิดเสนอขายครั้งแรก
- ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ในรูปแบบ E-Class ซึ่งฟรีค่าธรรมเนียมการซื้อและการจัดการ โดยต้องลงทุนผ่าน SCBAM Fund Click เท่านั้น
- ชนิดกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท เปิดเสนอขายครั้งแรกพร้อมกันระหว่างวันที่ 13-19 สิงหาคม 2564 นี้
ถึงแม้ว่าปัจจุบัน ARK Series มีการปรับตัวลง แต่อาจเป็นจังหวะดีที่จะได้สะสมกองทุนในราคาที่มีการปรับตัวลดลงเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้นในระยะยาวได้ เพราะในโลกการลงทุนคงไม่สามารถใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นในระยะสั้นเป็นตัวตัดสินชี้ขาดได้ทั้งหมด แต่การลงทุนกับแนวโน้มเทคโนโลยีของอนาคตคือการใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันคาดการณ์ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและครอบครองตลาดได้ในอนาคต