เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานอ้างอิงความเห็นของนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งที่ออกมาเตือนบรรดานักลงทุนในตลาดวอลล์สตรีท ว่าอย่าเพิ่งคาดหวังว่าตลาดหุ้นจะขยับพุ่งพรวด หลังจากที่ทำเนียบขาวและพรรครีพับลิกันบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการเพิ่มเพดานหนี้ได้สำเร็จลุล่วง
นักวิเคราะห์อธิบายว่า เป็นเพราะตลาดหุ้นส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อความเสี่ยงร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ มานานแล้ว ขณะเดียวกันแม้ว่าสภาคองเกรสจะผ่านร่างกฎหมายเพื่อยกระดับเพดานหนี้ และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนาม แต่ก็อาจใช้เวลาหลายเดือนก่อนที่หุ้นและตลาดการเงินอื่นๆ จะดำเนินต่อไป
ก่อนหน้านี้ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ที่ออกมากล่าวว่า หนึ่งในข้อกังวลของบริษัทก็คือ แม้ว่าจะมีข้อตกลงเกิดขึ้นก็อาจมีความปั่นป่วนในตลาดการเงินอย่างมาก
ขณะเดียวกัน การที่ตลาดได้รับในสิ่งที่ต้องการมากที่สุด นั่นคือการที่สหรัฐฯ ไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ แต่นักลงทุนในตลาดยังคงต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อการเดินทางที่ยากลำบาก เพราะกระทรวงการคลังจำเป็นต้องเติมเงินสดที่ถูกเผาไปในทันทีในช่วงที่มีมาตรการพิเศษ
ไมเคิล เรย์โนลด์ส รองประธานฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของ Glenmede กล่าวว่า เงื่อนไขดังกล่าวทำให้นักลงทุนชั่งน้ำหนักเพื่อมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดี ซึ่งนักลงทุนจำนวนมากอาจพบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดีกว่าหุ้น ทำให้เกิดการดูดสภาพคล่องบางส่วนออกจากตลาดหุ้นชั่วคราว
ทั้งนี้ จากบทเรียนในปี 2011 ที่สภาคองเกรสบรรลุข้อตกลงในการเพิ่มวงเงินหนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่สหรัฐฯ จะผิดนัดชำระหนี้ กระนั้นอีก 2 วันต่อมา ทาง Standard & Poor’s ปรับลดหนี้สหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทำให้ตลาดหุ้นต้องใช้เวลากว่า 2 เดือนในการฟื้นตัวจากผลขาดทุนที่เกิดจากการปรับลดอันดับเครดิตที่เกิดขึ้น
George Mateyo หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Key Private Bank กล่าวว่า คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ถ้าสถานการณ์ในปัจจุบันจะซ้ำรอยกับปี 2011 อีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีบริษัทจัดอันดับเครดิตปรับลดความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ แต่ความขัดแย้งในปัจจุบันอาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นอย่างมากในระบบการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อความผันผวนของตลาดที่ยาวนานหลายเดือน แม้จะบรรลุข้อตกลงเพดานหนี้ได้สำเร็จ
Mateyo ย้ำว่า ต่อให้เพิ่มเพดานหนี้ได้ สหรัฐฯ ก็ยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจอีกมากมายที่ต้องจัดการ
ความกังวลของบรรดานักวิเคราะห์ในตลาดเริ่มส่อเค้าลางความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของหลายฝ่ายหลังได้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงเพดานหนี้ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานสภา เควิน แมคคาร์ธี
ทั้งนี้ สมาชิกสภานิติบัญญัติบางคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ข้อตกลงว่าไม่เพียงพอในการจัดการกับหนี้ของสหรัฐฯ ในขณะที่คนอื่นๆ กังวลว่าข้อตกลงนี้เข้มงวดเกินไป และจะเป็นอันตรายต่อชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อยจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของภาคธุรกิจส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว โดยชี้ว่า นอกเหนือจากการเพิ่มเพดานหนี้แล้ว ข้อตกลงนี้ยังดำเนินขั้นตอนในการทำให้สหรัฐฯ มีวิถีการคลังที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งครอบคลุมถึงการวางโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานใหม่
อ้างอิง: