นักวิเคราะห์ระบุราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงจะกดดันความสามารถในการทำกำไรของ บจ. ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า สายการบิน เดินเรือ ที่มีต้นทุนเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง รวมถึงกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และรับเหมาก่อสร้าง ที่รับผลกระทบจากต้นทุนโลหะอุตสาหกรรม แนะระยะสั้นเก็งกำไรกลุ่มที่ได้อานิสงส์เชิงบวก เช่น กลุ่มปิโตรเลียมและโรงกลั่น
กรณีราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากการทำสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้เกิดการหยุดชะงักของ Supply Chain พลังงานทั่วโลก และส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการภาคการผลิตไปด้วย รวมถึงผู้ประกอบการในไทย
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินตัวเลขสุทธิของผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้ว่าจะเป็นเท่าไร เนื่องจากยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงโดยรัสเซียจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
มองผลกระทบเชิงลบมากกว่าเชิงบวก
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ประเมินได้ชัดเจนคือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่ปรับขึ้นทั่วโลก จะส่งผลเสียกับความสามารถในการทำกำไรของ บจ. มากกว่าให้อานิสงส์เชิงบวก เนื่องจากผู้ประกอบการภาคการผลิตของไทยมีค่อนข้างมาก และมีสินค้าโภคภัณฑ์เป็นต้นทุนค่อนข้างสูง
โดยในเบื้องต้นประเมินกลุ่มที่จะได้อานิสงส์เชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรคือ กลุ่มผู้ผลิตต้นน้ำในธุรกิจ Oil and Gas เช่น บ้านปู ที่ใช้พลังงานถ่านหิน รวมถึง ปตท.สผ. นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเกษตรที่จะได้อานิสงส์จากราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้น อาทิ TVO ที่น่าจะได้อานิสงส์จากราคาถั่วเหลืองที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเชิงลบคือธุรกิจที่ใช้สินค้าโภคภัณฑ์ในการผลิตและแปรรูป เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า สายการบิน เดินเรือ ซึ่งใช้ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ราคาสูงขึ้น รวมถึงธุรกิจแพ็กเกจจิ้งต่างๆ นอกจากนี้ยังกระทบถึงธุรกิจที่ใช้โลหะอุตสาหกรรมเป็นต้นทุน เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ รับเหมาก่อสร้าง เครื่องดื่มและอาหารที่มีแพ็กเกจจิ้งเป็นโลหะอุตสาหกรรม รวมถึงกลุ่มปศุสัตว์ ที่มีต้นทุนหลักจาก Soft Commodity หลายประเภท
คาดปัจจัยต้นทุนน้ำมันกดดันกำไรครึ่งปีหลัง
ณัฐชาตกล่าวว่า ภาพรวมของกำไร บจ. นั้น ในไตรมาส 1/65 จะยังเห็นไม่ชัดเจนว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะกดดันความสามารถการทำกำไรแค่ไหน เนื่องจากภาคธุรกิจส่วนใหญ่จะล็อกต้นทุนไว้ในระยะยาว เท่ากับว่าต้นทุนที่แท้จริงในไตรมาส 1 ปีนี้ บจ. ได้ล็อกสัญญาซื้อไว้ตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้วเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นจึงน่าจะเห็นผลกระทบต่อกำไร บจ. ในครึ่งปีหลังมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติของหุ้นที่มักจะปรับตัวรับปัจจัยต่างๆ ล่วงหน้าเสมอ จึงแนะนำขายทำกำไรหุ้นที่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกไปก่อน และค่อยเข้าสะสมอีกครั้งในช่วงกลางปี เมื่อเริ่มเห็นทางออกของสงครามรัสเซียและยูเครน
เชื่อ บจ. รับมือเรื่องต้นทุนน้ำมันได้ดี
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า ต้นทุน บจ. ที่ขึ้นมาตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์นั้นจะกดดันตลาดไม่นาน และเชื่อว่าสถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ จะคลี่คลายลงในที่สุด ขณะเดียวกันเชื่อว่า บจ. ไทยจะสามารถบริหารจัดการต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้
ทั้งนี้ หากประเมินแนวโน้มราคาโภคภัณฑ์โดยเฉพาะน้ำมันจากท่าทีของ Fed แล้ว เชื่อว่าท้ายที่สุดราคาจะปรับลงสู่จุดสมดุลได้ โดยท่าทีของ Fed ล่าสุดคือเชื่อว่าจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 0.25% ซึ่งสะท้อนว่า Fed ไม่ได้มองสงครามรัสเซียและยูเครนจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเงินเฟ้อมากนัก
ดังนั้น บล.บัวหลวงจึงยังคงเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 ของ SET ที่ 1,793 คิดเป็น PER ที่ 18.3 เท่า และกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 98 บาท
เอเซีย พลัส มองกำไร บจ. ไตรมาส 1 โตต่อ
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สำหรับในปี 2565 นักวิเคราะห์มีมุมมองบวกต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้นจากทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น และยังมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันช่วงต้นปีเฉลี่ยยืนอยู่ในระดับสูงมากที่ 87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยที่ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งปกติราคาที่เกินสมมติฐานทุกๆ 5 ดอลลาร์ ช่วยหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนราว 1 บาทต่อหุ้น
ดังนั้นคาดกำไรบริษัทจดทะเบียนดีต่อเนื่องในไตรมาส 1/65 (ถือเป็น High Season ของหลายอุตสาหกรรม) ถือเป็นหนึ่งแรงพยุงใน SET Index กลับไปยืนเหนือ 1,700 ได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ จากการค้นหาว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มีกลุ่มหุ้นอะไรที่ราคายัง Laggard ภาพรวมตลาดที่ปรับตัวขึ้นมา +2.2% บ้าง พบว่า มีกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบคือ PETRO -5.2%, AUTO -3.8%, TOURISM -3.5%, CONS -1.4%, PROP -0.5% และ FOOD ที่บวกเพียง 0.1% เป็นต้น
ในหุ้นกลุ่ม Laggard ดังกล่าว ฝ่ายวิจัยเล็งเห็นว่ามีหุ้นบางกลุ่มที่ราคามีโอกาสรีบาวด์กลับได้เร็วคือกลุ่มท่องเที่ยว ด้วย 3 ปัจจัย ดังนี้
- ราคา Laggard กลุ่มอื่นๆ และตลาด
- การเจรจารัสเซียกับยูเครนเริ่มต้นด้วยดี ส่งผลดีต่อธุรกิจในยุโรปและหุ้นท่องเที่ยว ซึ่งในภาวะปกติไทยมีนักท่องเที่ยวรัสเซียสัดส่วน 3.7%
- วันนี้เป็นวันแรกที่เปลี่ยนการตรวจโควิดนักท่องเที่ยวครั้งที่ 2 จาก RT-PCR เป็น ATK ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณความผ่อนคลายที่ดี
จึงได้ข้อสรุปว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสะสมในช่วงนี้ แนะนำ MINT, CENTEL, ERW
สำหรับไตรมาส 4/64 ที่บริษัทจดทะเบียนจะต้องรับมือวิกฤตโควิดโอไมครอนเป็นครั้งแรก และสามารถฟันฝ่าไปได้ด้วยดี สะท้อนจากข้อมูลกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4/64 ซึ่งฝ่ายวิจัยรวม รวมถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ มีการรายงานออกมาแล้ว 543 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 95% ของ Market Cap พบว่า มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2.75 แสนล้านบาท และเติบโต 41%QoQ และ 50%YoY
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP