วันนี้ (24 ตุลาคม) ราชัด โคเซีย ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยและนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่าในขณะที่การชุมนุมโดยสงบในประเทศไทยขยายตัวขึ้น ทางการไทยยังคงใช้กฎหมายที่มีเนื้อหากำกวมและจำกัดสิทธิมากเกินไปเพื่อคุกคามและปิดปากประชาชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จึงเรียกร้องทางการไทยให้ยกเลิกข้อหาทั้งหมดต่อผู้ชุมนุมอย่างสงบโดยทันที และให้ปล่อยตัวคนที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่
“การชุมนุมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปทั่วประเทศไทยเป็นสัญญาณบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าประชาชนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ
“แทนที่จะจัดพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนเพื่อแสดงความคิดเห็น ทางการไทยกลับดำเนินคดีอาญาซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการชุมนุมโดยสงบ ทั้งใช้กฎหมายที่ให้อำนาจอย่างกว้างขวางและมีเนื้อหากำกวม ข้อหาที่ทางการไทยใช้ดำเนินคดีกับแกนนำผู้ชุมนุมกลายเป็นเพียงยุทธวิธีเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ขบวนการ และอีกทั้งเป็นข้อหาโดยพลการ ไม่เหมาะสม และมีแรงจูงใจทางการเมือง”
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุด้วยว่าแกนนำผู้ชุมนุมเหล่านี้ถูกคุมขังเพียงเพราะแสดงความคิดเห็นของตนโดยสงบเพื่อเรียกร้องการปฏิรูปทางการเมืองและสิทธิมนุษยชน ไม่มีเหตุผลที่ต้องควบคุมตัวพวกเขา ต้องปล่อยพวกเขาทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข และทางการไทยต้องปฏิบัติตามพันธกิจล่าสุดที่จะลดความตึงเครียดของสถานการณ์ โดยต้องยุติการใช้กฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมิชอบ ยุติการจับกุมและการใช้กฎหมายคุกคามประชาชนจำนวนมาก
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยังย้ำเรียกร้องทางการไทยให้เคารพพันธกรณีระหว่างประเทศที่ต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่จะมีสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบที่เป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รวมทั้งให้คุ้มครองสิทธิของบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งมีผลบังคับใช้ต่อประเทศไทยทั้งสองฉบับ
อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มที่ได้ที่นี่ https://www.amnesty.or.th/latest/news/861/