สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงที่ภาคธนาคารจะทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรในระดับนานาชาติ อันรวมถึงการคว่ำบาตรเนื่องมาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
ในปีที่ผ่านมา ประเทศคู่ค้าสำคัญบางแห่งของประเทศไทยถูกจัดเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ตามแถลงการณ์ของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force: FATF) ปปง. จึงประกาศให้ประเทศดังกล่าวเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ที่ต้องดำเนินการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าที่มาจากพื้นที่หรือประเทศดังกล่าวในระดับเข้มข้นทันที และได้ออกแนวทางซักซ้อมความเข้าใจ เช่น ให้สถาบันการเงินใช้มาตรการที่เข้มข้นในการพิสูจน์ทราบผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงของลูกค้า (Ultimate Beneficial Owner: UBO) โดยใช้เอกสาร ข้อมูล หรือข่าวสารจากแหล่งอื่น ที่น่าเชื่อถือ นอกเหนือจากการขอข้อมูลจากลูกค้า และกำหนดให้สถาบันการเงินขอทราบวัตถุประสงค์ในการทำธุรกรรมจากลูกค้า เพื่อพิจารณาว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจหรือการทำธุรกรรมเป็นครั้งคราวกับลูกค้าหรือไม่
ที่ผ่านมา ปปง. และ ธปท. ร่วมกันตรวจสอบและติดตามการทำธุรกรรมของสถาบันการเงินกับประเทศที่มีความเสี่ยงสูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าสถาบันการเงินในไทยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (AML/CTPF) ที่ ปปง. กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยไม่มีการทำธุรกรรมกับบุคคลที่มีชื่อปรากฏตาม Thailand List และ UN Sanction List อีกทั้งพบว่าสถาบันการเงินหลายแห่งมีมาตรฐานการปฏิบัติงานที่เข้มงวดกว่ากฎเกณฑ์ที่ ปปง. กำหนดไว้
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่รุนแรงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นช่องทางสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประกอบกับกรณีที่มีรายงานจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ว่าสถาบันการเงินในไทยบางแห่งให้บริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้ออาวุธของรัฐบาลทหารเมียนมาในปี 2023 ซึ่งถูกนำไปใช้ทำร้ายประชาชนและละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมานั้น ปปง. และ ธปท. ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยสั่งการให้สถาบันการเงินทุกแห่งทบทวนการทำธุรกรรมและเพิ่มความระมัดระวังในทันที โดยร่วมกันเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในรายงานดังกล่าว รวมถึงตรวจสอบนโยบายและการปฏิบัติงานของสถาบันการเงินในด้านการสร้างความสัมพันธ์กับสถาบันการเงินตัวแทน (Correspondent Bank) การเปิดบัญชี และการทำธุรกรรมรับและโอนเงินกับลูกค้า ซึ่งพบว่ามีสถาบันการเงินบางแห่งทำธุรกรรมกับบุคคลที่มีชื่อปรากฏในรายงานของ OHCHR จริง แต่ไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงว่าเป็นธุรกรรมเพื่อการจัดซื้ออาวุธ และการทำธุรกรรมของสถาบันการเงินยังเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ปปง. และ ธปท. กำหนด
อย่างไรก็ดี พบว่าสถาบันการเงินแต่ละแห่งมีการปฏิบัติงานที่เข้มงวดแตกต่างกัน จึงเห็นความจำเป็นที่ต้องยกระดับการปฏิบัติที่สำคัญด้าน AML/CTPF เพื่อให้สถาบันการเงินรับมือกับความเสี่ยงที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการส่งผ่านเงินทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่แฝงมาในรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างเท่าทันมากขึ้น
ในการนี้ ปปง. และ ธปท. จึงขอเน้นย้ำว่า ภาคการเงินไทยไม่สนับสนุนการทำธุรกรรมทางการเงินที่สนับสนุนการฟอกเงิน การก่อการร้าย การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง รวมถึงการทำสงคราม ที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการและมีแผนงานที่ต้องทำต่อเนื่อง ดังนี้
- เร่งยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของสถาบันการเงินในไทยให้เท่าทันกับสถานการณ์และมาตรฐานสากลที่ปรับเปลี่ยนต่อเนื่อง ได้แก่
-
- การเพิ่มมาตรการที่เข้มข้นในการพิสูจน์ทราบ UBO เพื่อให้สามารถติดตามและป้องกันการใช้โครงสร้างธุรกิจที่ซับซ้อนในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย โดยการตรวจสอบลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงจะต้องเข้มข้นกว่าลูกค้าทั่วไปอย่างชัดเจน และสอดคล้องกับเกณฑ์ของ FATF เช่น การกำหนดนิยาม UBO ให้ครอบคลุมไปถึงผู้ที่ถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 25
- การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงในระดับเข้มข้น (Enhanced Customer Due Diligence: EDD) โดยต้องมีหลักฐานว่ามีการหาข้อมูลจากแหล่งอื่นเพิ่มเติมที่ชัดเจน เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับลูกค้า และมีกลไกจับสัญญาณเตือนภัยจากการทำธุรกรรมที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กำหนดเกณฑ์การเรียกเอกสารหลักฐานประกอบการทำธุรกรรมโอนเงินหรือรับโอนเงินเพิ่มเติมในกรณีลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Items: DUI) เพื่อให้ทราบวัตถุประสงค์การทำธุรกิจของลูกค้า ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้สถาบันการเงินถูกใช้เป็นช่องทางสนับสนุนการฟอกเงิน การก่อการร้าย และการละเมิดสิทธิมนุษยชน
- ปปง. และ ธปท. ออกนโยบายร่วม เรื่อง การดูแลความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตร เพื่อเน้นย้ำและผลักดันให้สถาบันการเงินให้ความสำคัญและยกระดับการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตร โดยต้องมีวิธีการและระบบประเมิน ติดตาม ตรวจจับความเสี่ยง และแจ้งเตือน หากพบความผิดปกติในการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้า ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตร รวมทั้งกำหนดระดับความเข้มข้นในการตรวจสอบ เพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น (Risk Proportionality) และพิจารณาดำเนินการบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอย่างเหมาะสม อันจะส่งเสริมให้ระบบการเงินไทยมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น โดยสถาบันการเงินจะต้องถือปฏิบัติตามนโยบายร่วมดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2024 เป็นต้นไป
- กำหนดให้สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารในกลุ่มสมาชิก จัดทำมาตรฐานของระบบสถาบันการเงิน (Industry Standard) ในประเด็นที่ ปปง. และ ธปท. เล็งเห็นว่าต้องยกระดับการปฏิบัติงานข้างต้น รวมถึงจัดให้มีการพัฒนาระบบและเครื่องมือการตรวจสอบ DUI และรายการสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกนำไปใช้เพื่อผลิตอาวุธที่คุกคามความมั่นคงปลอดภัยระหว่างประเทศ (Common High Priority List: CHPL) อย่างเป็นรูปธรรม โดยจะนำออกใช้ภายในเดือนมกราคม 2025 เป็นต้นไป ซึ่งการกำหนดวิธีปฏิบัติให้เข้มข้นขึ้นเป็นมาตรฐานเดียวกันนี้ จะปิดช่องโหว่ไม่ให้เกิดการเลือกทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินที่มีมาตรฐานแตกต่างกันได้
ทั้งนี้ ปปง. และ ธปท. จะติดตามความคืบหน้าและตรวจสอบการปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ยกระดับดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยมุ่งหวังว่าสถาบันการเงินจะระมัดระวังในการทำธุรกรรมที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบสถาบันการเงิน และหากพบว่าสถาบันการเงินกระทำผิดหรือละเลยการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนด ปปง. และ ธปท. จะดำเนินการอย่างเข้มงวดตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ภาพ: Busakorn Pongparnit / Getty Images