×

อมตะฯ เปิดแผนปั้นโครงการ Smart Eco City ใน สปป.ลาว ประเดิมโครงการนิคมอุตสาหกรรม ดึง FDI ใน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

21.06.2025
  • LOADING...
Smart Eco City

สปป.ลาว ถือเป็นอีกหนึ่งในประเทศถูกมองว่ามีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ส่วนเป็นเพราะมีแนวพรมแดนที่ติดกับจีน รวมทั้งมีระบบขนส่งที่เชื่อมระหว่างจีนกับ สปป.ลาว ในการขนส่งสินค้าได้โดยตรงจากระบบขนส่งทางรางจากโครงการรถไฟความเร็วสูง สปป.ลาว-จีน ซึ่ง บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน หรือ AMATA เห็นถึงโอกาสนี้

 

วรงค์ ตังประพฤทธิ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะซิตี้ ลาว จำกัด บริษัทในเครือของ บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน ให้สัมภาษณ์ THE STANDARD WEALTH เล่าถึงจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ ‘อมตะ นาหม้อ’ ว่ามาจากวิสัยทัศน์ของ วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานคณะกรรมการบริษัท AMATA ที่มองเห็นโอกาสธุรกิจใน สปป.ลาว ตั้งแต่ปี 2559 จากการเดินทางไปคาราวานและข้อมูลที่เคยศึกษาไว้ ประกอบกับข้อจำกัดบางประการในการดำเนินธุรกิจในไทย จึงมองโอกาสการขยายธุรกิจในต่างประเทศ 

 

โดยวิกรมมีโอกาสกลับไป สปป.ลาว อีกครั้งในปี 2559 ตามคำเชิญของ ท่านทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศในขณะนั้น และยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะการได้ลงพื้นที่สำรวจอีกครั้งที่เมืองนาหม้อ ทำให้เห็นถึงโอกาสที่มหาศาลจากการเริ่มโครงการรถไฟความเร็วสูง สปป.ลาว-จีน ทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นเมืองใหม่ได้

 

ในปี 2560 อมตะฯ ยื่นขอสัมปทานและลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในปี 2561 ได้สิทธิ์สัมปทาน 50 ปีในพื้นที่ 20,000 ไร่ ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณรอบสถานีรถไฟนาหม้อและนาเตย ซึ่งห่างจากชายแดนจีนเพียง 10-40 กิโลเมตร ทำให้สินค้าสามารถส่งออกไปจีนและเชื่อมต่อไปยังยุโรปได้สะดวก โดยมีเป้าหมายการส่งออกสูงถึง 90% ของสินค้าที่ผลิตได้

 

ขณะที่ช่วงโควิดระบาดในปี 2562-2563 ทำให้โครงการชะลอไปบ้าง แต่บริษัทฯ ใช้โอกาสในเวลานั้นเจรจาขอสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่พิเศษจากรัฐบาล สปป.ลาว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในพื้นที่ที่ยังใหม่สำหรับพวกเขา และในที่สุดปี 2566 บริษัทฯ จึงได้สิทธิประโยชน์สูงสุดเท่าที่ สปป.ลาว เคยให้กับนักลงทุนต่างชาติ

 

 

ภาพ: ผังเมืองโครงการ ‘อมตะ นาหม้อ’ ใน สปป.ลาว ที่พัฒนาโดยบริษัท อมตะซิตี้ ลาว

 

ชูสิทธิประโยชน์แม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

 

วรงค์อธิบายต่อว่า การเดินหน้าโครงการ ‘อมตะ นาหม้อ’ มีที่ปรึกษาด้านการออกแบบและวางผังเมืองจากสิงคโปร์ คือ Surbana Jurong และบริษัท PCKK ในการวางแนวคิด (Concept) และทำ Market Survey

 

พร้อมทั้งมีแพ็กเกจสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนกับผู้ลงทุน ที่ถือว่าเหนือกว่าข้อเสนอของหลายประเทศในอาเซียน ซึ่งรัฐบาล สปป.ลาว ให้กับอมตะฯ เพียงรายเดียวในฐานะโครงการนำร่องของประเทศ เพื่อต้องการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย

 

ซึ่งมีสิทธิพิเศษที่ให้นักลงทุน มีดังนี้

 

  • ยกเว้นอากรกำไร (Income Tax) 30 ปี ถือว่ายาวนานที่สุดในอาเซียน และยังยาวนานกว่าประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย หากไม่นับรวมประเทศที่จัดว่าเป็น Tax Haven สิ่งที่ทำให้สิทธิประโยชน์นี้แตกต่างจากการลงทุนในประเทศอื่นๆ คือการเริ่มนับระยะเวลาการยกเว้นภาษี ตั้งแต่วันที่ผู้ลงทุนมีรายได้ก้อนแรก ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบของ BOI ในประเทศไทยที่มักจะเริ่มนับทันทีหลังจากได้รับการอนุมัติ ทำให้ผู้ลงทุนมีเวลาเตรียมความพร้อมและเริ่มดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่ก่อนจะเริ่มนับเวลาการยกเว้นภาษี

 

  • ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหลือเพียง 1% ซึ่งการลด VAT ลงอย่างมหาศาลนี้ช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้อย่างมาก ทำให้สินค้าและบริการที่ผลิตในพื้นที่สามารถแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกได้ดีขึ้น

 

  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้เชี่ยวชาญ (Personal Income Tax) เพียง 5% (Flat Rate) สิทธิประโยชน์นี้มีขึ้นเพื่อดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูง ทั้งผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ และวิศวกรฝีมือดีจากต่างประเทศให้เข้ามาทำงานใน สปป.ลาว ซึ่งยังขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทาง โดยทำให้พวกเขาสามารถรับเงินเดือนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น และเป็นแรงจูงใจสำคัญในการย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานในพื้นที่

 

อย่างไรก็ดี สิทธิพิเศษนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย เพราะมีเงื่อนไขว่าหากอมตะฯ ไม่สามารถดำเนินโครงการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมได้ภายใน 7 ปี สิทธิ์เหล่านี้ก็จะถูกยึดคืน

 

ภาพ: วรงค์ ตังประพฤทธิ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะซิตี้ ลาว จำกัด

 

ตั้งเป้าหมายดึงดูด 4 อุตสาหกรรมเป้าหมายตอบโจทย์ สปป.ลาว

 

การกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนา ‘อมตะ นาหม้อ’ ให้สอดคล้องกับศักยภาพและทรัพยากรของ สปป.ลาว รวมถึงตอบสนองความต้องการของตลาดโลก อมตะฯ คัดเลือก 4 อุตสาหกรรมหลักเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของ สปป.ลาว และยังเป็นฐานลูกค้าเดิมของกลุ่มอมตะฯ ได้แก่

 

  • อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและอาหาร: สปป.ลาว มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีคุณภาพสูง การส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปและอาหารจะช่วยยกระดับสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สร้างโอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปไปยังตลาดขนาดใหญ่อย่างจีน และยังสามารถพัฒนาไปสู่การผลิตอาหารออร์แกนิกและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอื่นๆ ได้

 

  • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics): อุตสาหกรรมนี้เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมที่อมตะฯ มีฐานอยู่ในประเทศไทยและเวียดนาม การดึงดูดผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ให้ย้ายฐานการผลิตมายัง สปป.ลาว จะช่วยลดความซับซ้อนในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมการลงทุนใหม่ๆ เนื่องจากเป็นลูกค้าที่คุ้นเคยกับรูปแบบการบริหารจัดการของอมตะฯ อยู่แล้ว การนำเข้าเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของ สปป.ลาว

 

  • อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ (Automotive): สปป.ลาว มีวัตถุดิบยางพาราที่สำคัญ และมีต้นทุนแรงงานที่น่าสนใจ การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยางรถยนต์ เช่น การผลิตยางรถยนต์ หรือชิ้นส่วนยาง จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตยางพาราของประเทศ และสามารถสร้างงานให้กับแรงงานในพื้นที่ได้อย่างมหาศาล อุตสาหกรรมนี้มีความต้องการใช้พื้นที่และไฟฟ้าในระดับที่อมตะฯ สามารถบริหารจัดการได้

 

  • อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy): สปป.ลาว ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘แบตเตอรี่แห่งเอเชีย’ เนื่องจากมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์จำนวนมากถึง 90% ของกำลังการผลิตทั้งหมด การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียน เช่น การผลิตแผงโซลาร์เซลล์ อุปกรณ์กักเก็บพลังงาน

 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่ต้องการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังยุโรปหรือญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับคาร์บอนเครดิต ก็จะได้รับประโยชน์จากการใช้พลังงานสีเขียวใน สปป.ลาว

 

นอกเหนือจาก 4 อุตสาหกรรมหลักนี้ อมตะฯ ยังเปิดกว้างสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่รัฐบาลลาวต้องการส่งเสริมเป็นพิเศษ และเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ เช่น Data Center หากโครงข่ายการสื่อสารพื้นฐานได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถโอกาสในการรองรับย้ายฐานอุตสาหกรรมจากจีนมายัง สปป.ลาว ในอนาคต จากผลกระทบของนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ

 

‘อมตะฯ’ ศึกษาลงทุนธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป

 

วรงค์ยังเผยต่อถึงโมเดลการลงทุนในธุรกิจในนิคมอุตสาหกรรมที่ สปป.ลาว จะมีความแตกต่างจากธุรกิจในไทยและเวียดนาม เพื่อปรับให้เหมาะสมกับตลาดใหม่ใน สปป.ลาว นอกจากการขายที่ดินเปล่า บริษัทฯ มีแผนจะสร้างโรงงานให้เช่า (Ready-Built Factories) เพื่อลดภาระและเร่งการลงทุนของลูกค้าใหม่ รวมถึงการร่วมลงทุน (Joint Venture) ในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเกษตรแปรรูปและอาหาร เพื่อเป็นโครงการต้นแบบและดึงดูดนักลงทุนรายอื่นๆ

 

นอกจากนี้ อมตะฯ ยังศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตเกษตรแปรรูปตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่จะทำธุรกิจแบบครบวงจร เช่น ในอุตสาหกรรมอาหาร จะครอบคลุมตั้งแต่การปลูก การแปรรูป ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอย่างเครื่องสำอาง หรืออาหารเสริม

 

อีกทั้งโครงการนี้ยังได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจาก EXIM Bank และกำลังเจรจากับธนาคารไทยอื่นๆ รวมถึงพันธมิตรด้านพลังงานจากจีน และพูดคุยกับพาร์ตเนอร์ที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารจากญี่ปุ่น อิสราเอล และนิวซีแลนด์อีกด้วย

 

ภาพ: ตัวอย่างโมเดลโครงการนิคมอุตสาหกรรม ‘อมตะ นาหม้อ’ ใน สปป.ลาว

 

วางรากฐานโครงสร้างพื้นฐาน-พัฒนาแรงงานครบวงจร

 

โดยการพัฒนาโครงการ 20,000 ไร่ในพื้นที่ที่เคยเป็นป่าและที่นา ถือเป็นความท้าทายใหญ่ เพราะบริษัทต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ระบบน้ำประปา บ่อบาดาล ระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อให้มั่นใจว่ามีน้ำเพียงพอและได้มาตรฐาน

 

สำหรับระบบไฟฟ้า แม้ สปป.ลาว จะมีไฟฟ้าสะอาดจำนวนมาก แต่ก็มีปัญหาเรื่องความไม่เสถียร บริษัทจึงร่วมมือกับรัฐวิสาหกิจจีนด้านพลังงานเพื่อเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ของจีน ทำให้มั่นใจว่าจะมีไฟฟ้าใช้เพียงพอและต่อเนื่องตลอดปีในราคาที่เหมาะสม

 

นอกจากนี้ อมตะฯ ยังดูแลระบบจัดการขยะ ลงทุนสร้างถนน และโครงข่ายคมนาคมภายในนิคมทั้งหมด

 

ด้านการจัดหาที่ดิน บริษัทฯ ลงทุนชดเชยที่ดินให้กับประชาชนไปแล้วกว่า 6,000 ไร่ โดยการดำเนินการจัดหาที่ดินใน สปป.ลาว ทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่าไทยมาก เนื่องจากมีกฎหมายรองรับการเวนคืนเพื่อโครงการของรัฐ ทำให้ต้นทุนที่ดินต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

 

ในการก่อสร้าง บริษัทฯ เลือกทำงานกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ 1 ใน 5 อันดับแรกของรัฐวิสาหกิจจีน ในรูปแบบ EPC Contract หรือ Turnkey เพื่อควบคุมคุณภาพและบริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ส่วนการพัฒนาแรงงาน วรงค์กล่าวว่า บริษัทฯ ได้รับสิทธิ์พิเศษในการนำเข้าแรงงาน จากอาเซียนและจีน โดยเฉพาะจากภาคเหนือของ สปป.ลาว และชาวไทใหญ่จากเมียนมา ซึ่งสื่อสารกันได้ง่าย และเรายังมีแผนร่วมมือกับศูนย์ฝึกอาชีพของเยอรมนี ใน สปป.ลาว เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมสมัยใหม่

 

แผนระยะยาวปั้น ‘อมตะ นาหม้อ’ ขึ้นแท่น Smart Eco City

 

วรงค์เล่าถึงแผนการพัฒนาโครงการ ‘อมตะ นาหม้อ’ ในระยะยาวไม่ได้หยุดแค่การเป็นนิคมอุตสาหกรรม โดยมีแผนพัฒนาให้เป็น ‘สมาร์ทอีโคซิตี้’ (Smart Eco City) หรือเมืองใหม่ที่ครบวงจรและยั่งยืน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 100,000 ไร่ ภายใน 20 ปีข้างหน้า เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนและบุคลากรต่างชาติที่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกเทียบเท่ามาตรฐานสากล

 

ภาพ: ตัวอย่างโมเดลโครงการอมตะ นาหม้อ ที่มีแผนพัฒนาเป็น Smart Eco City ในอนาคต

 

สำหรับเมืองแห่งใหม่นี้จะประกอบด้วยพื้นที่อุตสาหกรรม, พื้นที่เชิงพาณิชย์, ที่อยู่อาศัย, บ้านพักคนชรา, โรงแรม, โรงพยาบาล, โรงเรียน, สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และระบบสาธารณูปโภคอัจฉริยะ พร้อมพื้นที่สีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม

 

“อมตะ นาหม้อ ถูกวางตำแหน่งให้เป็น ‘China Plus One’ คือเป็นฐานการผลิตที่เสริมการลงทุนในประเทศจีน สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และเข้าถึงตลาดจีนผ่านโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงและทางด่วนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้”

 

แม้จะเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและนโยบายการค้า แต่วรงค์ยืนยันถึงความพร้อม เตรียมงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง กำลังพัฒนาแนวทางสำหรับโรงงานมือสอง และนำนักลงทุนเป้าหมายเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่แล้ว คาดว่าจะเริ่ม Roadshow อย่างเป็นทางการปลายปี 2568 เมื่อโครงสร้างพื้นฐานมีความคืบหน้าชัดเจน

 

“นอกจากนี้ อมตะฯ ยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านโลจิสติกส์ โดยบริษัทฯ กำลังพูดคุยกับบริษัททางด่วนของจีน-ลาว ที่จะเริ่มก่อสร้างทางด่วนเฟส 2 ซึ่งจะเชื่อมจากเมืองไซไปชายแดนจีน ผ่านนาหม้อและนาเตย ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งได้อย่างมาก” วรงค์กล่าวทิ้งท้าย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising