วันนี้ (20 กันยายน) ที่รัฐสภา อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ปีใหม่ ปีใหม่ เขียนจดหมายร้องเรียนที่อมรัตน์บุกไปคุกคามถึงบ้านและที่ทำงาน ซึ่งมีเหตุมาจากการโพสต์ประกาศยุติสงครามเหลือง-แดงจนมีเสียงการวิจารณ์ไม่เหมาะสมว่า ตนขออภัยที่ทำให้สังคมมีความเป็นพิษ มีความ Toxic สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ว่าจะทางสังคมหรือกฎหมาย ตนก็ยินดี ยินยอมน้อมรับ หากเป็นการดำเนินการทางกฎหมาย ตนก็จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปด้วยเช่นกัน
อมรัตน์กล่าวว่า ตนต้องขอบอกว่าเป็นเรื่องที่ตนเหลือทนจากการเป็นผู้ถูกกระทำตลอดต่อเนื่องยาวนาน จากคนที่ไม่ได้ใช้ชื่อจริงในการเปิดบัญชีในโซเชียลมีเดีย ปั่นกระแสข่าวเท็จ ข่าวปลอมโจมตี ด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผลรองรับ ตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ซึ่งคนดังกล่าวมีผู้ติดตามเป็นนักการเมืองระดับหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่
“ใครที่ใช้ชื่อจริง เป็นเรื่องที่รับได้ แต่กรณีที่ไม่มีตัวตน เป็นบุคคลปริศนา มีใครสืบเสาะหาก็ไม่มีใครทราบความจริง บ้างก็ว่าเป็นนักวิชาการอิสระ บ้างก็ว่าอยู่ต่างประเทศ บ้างก็ว่าเป็นคนสนิทสนมพรรคการเมืองใหญ่ หรือการแสดงตนเป็นบุคคลใกล้ชิดคนใหญ่คนโตหรือนักการเมืองใหญ่ ก็ทำให้คนทั่วไปมีความเกรงใจ จะเขียนด่าใคร จะใส่ร้ายป้ายสีใครก็ทำได้โดยสะดวกใจ ไม่มีใครสามารถติดตามเอาผิดได้” อมรัตน์กล่าว
อมรัตน์ยืนยันว่า ตนเป็นผู้ถูกกระทำ พร้อมโชว์ภาพให้ผู้สื่อข่าวดู และระบุว่าเป็นภาพที่ตนถูกนำไปตัดต่อ รู้สึกโกรธ เพราะเอาหน้าตนไปใส่รูปกำนันนก และพยายามบิดเบือนว่าตนสนิทกับมาเฟีย ทำให้รู้สึกว่าไม่ไหว ประกอบกับมีคนให้เบาะแสมาว่า บุคคลดังกล่าวพยายามแสดงตนว่ามีผู้สนับสนุนใหญ่โต จึงตรวจสอบโดยการโทรศัพท์ไปเช็กกับผู้จัดการฝ่ายบุคคล ซึ่งต้นสังกัดก็ยินดีตรวจสอบให้
อมรัตน์เปิดเผยว่า เมื่อตนจะกลับบ้านในจังหวัดนครปฐมพอดี ทราบว่าโรงงานที่บุคคลดังกล่าวทำงานเป็นทางผ่านพอดี จึงเข้าไปคนเดียวอย่างถูกต้อง ก็ได้รับการต้อนรับจากคนในโรงงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้บอกกับตนว่า บุคคลดังกล่าวได้ยอมรับว่าเป็นเจ้าของบัญชีผู้ใช้งานในเฟซบุ๊ก และ X (หรือที่เรียกกันว่าทวิตเตอร์) จริง แม้ตอนแรกปฏิเสธว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวจะเขียนอะไรก็ได้ แต่กรรมการบริษัทได้ออกหนังสือตักเตือนตามระเบียบบริษัท เหมือนทำทัณฑ์บนไว้ 1 ปี ตนได้ยินแล้วก็สบายใจ ถือเป็นมาตรการทางสังคมอย่างหนึ่ง ยืนยันไม่ใช่การคุกคามหรือข่มขู่ เพราะเราเข้าไปอย่างถูกต้อง ตนไม่มีศักยภาพที่จะไปข่มขู่คุกคามใครอยู่แล้ว
ส่วนสาเหตุที่โพสต์ลงโซเชียล อมรัตน์เปิดเผยว่า “บางทีมาตรการทางกฎหมายก็ต้องใช้ แต่ก็ต้องใช้มาตรการทางสังคมด้วย เพราะบุคคลที่ไม่มีตัวตน อยู่ในที่ปริศนาดำมืด หรือเป็นอะไรที่ส่งผลกระทบต่อสังคม ก็ถูกขยายผลและสร้างความเกลียดชังมากมาย บางคนก็ไม่มีปัญญาไปฟ้องหมิ่นประมาท”
อมรัตน์ย้ำว่า หากมีอะไรที่คิดว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตนก็พร้อมต่อสู้ พร้อมอธิบายว่า การเปิดเผยข้อมูลเป็นการกระทำที่อยู่ในกรอบของกฎหมาย ตนคิดว่าไม่เข้าข่าย PDPA ไม่ได้บอกรายละเอียดอย่างชัดเจน เรื่องนี้ก็ต้องไปว่ากันในชั้นศาล แต่ในกระบวนการทางสังคม เหยื่อก็ต้องปกป้องตัวเอง ช่วยเหลือตนเอง หากสังคมจะตัดสินอย่างไรก็ยินดีน้อมรับ หากมองว่าผิดพลาดก็รับผิดชอบได้ ยืนยันว่ากรณีนี้มีการพบกันด้วยความสุภาพ พร้อมถามว่าตนมีสิทธิหรือไม่ที่โดนด่ามา โดนใส่ร้ายป้ายสี เรามีสิทธิไปบอกกับเจ้านายเขาเพื่อพิจารณาถึงกฎระเบียบของบริษัทหรือไม่
เมื่อถามว่าเรื่องนี้ถูกมองว่ากระทบกับตำแหน่งของ ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ด้วย เพราะอมรัตน์เป็นคณะทำงานนั้น อมรัตน์กล่าวว่า ยังไม่ได้เจอกัน แต่หากกระทบก็ยินดีน้อมรับทั้งหมด เพราะตนยังมีสติ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง เราจะไม่ทนเป็นเหยื่ออีกต่อไป หากเกินเลยไปบ้างก็ยินดีรับผิดชอบ หากจะให้ลาออกก็ขึ้นอยู่กับคนแต่งตั้ง แต่ตนก็รับได้ อยู่ตรงไหนก็ทำงานได้ ส่วนจะมีบทลงโทษหลังจากนี้ก็ให้ดำเนินการไป เพราะตนไม่ได้เป็น สส. แล้ว เป็นเพียงที่ปรึกษารองประธานสภา ขอให้ว่าไปตามกระบวนการ
อมรัตน์ระบุว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับพรรคก้าวไกล แต่ไม่มีปัญหา เพราะทำไปด้วยสติและคิดว่าคุ้มค่า พร้อมย้ำว่าการที่ตนนำเอาคนที่อยู่ในเงาดำมืด ไม่มีแสง ทำหน้าที่เหมือนไฟฉาย ส่องแสงให้คนได้เห็น มีตัวตน มีอาชีพอะไร จะได้ไม่ต้องไปทำร้ายใครด้วยการโพสต์ ถ้าอยู่ในมุมมืดก็ทำอะไรได้ตามสบายไปเรื่อยๆ
อมรัตน์ระบุว่า ขอให้ว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย และขอให้ใช้กรณีนี้เป็นประโยชน์ในการขยายผลให้ประชาชนได้รับการปกป้องจากกฎหมาย ซึ่งส่วนตัวเคยต่อต้านเรื่องการล่าแม่มด แต่ต้องเป็นในระดับไหนถึงจะเรียกว่าเป็นการล่าแม่มด เช่น เราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วถูก คสช. ตามล่า ใช้กฎอัยการศึก ใช้กฎหมายตามล่า เราอาจเป็นเหยื่อ แต่เรื่องนี้ก็ก้ำกึ่งว่าใครเป็นเหยื่อกันแน่ เพราะมีคนตกเป็นเหยื่อกันมากมาย และตนคือส่วนหนึ่งของเหยื่อ อาจมีใครเป็นเหยื่ออีกส่วนหนึ่งก็ว่าไปตามกระบวนการ ไม่ได้กังวลอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเจ้าตัวมาขอโทษ อมรัตน์ยินดีให้อภัย และเรื่องนี้จะจบหรือไม่ อมรัตน์บอกว่า พอได้รู้แล้วว่าเป็นใครมาจากไหนก็หายโกรธแล้ว เพราะเป็นคนที่หายโกรธเร็ว ตนรู้สึกว่าได้เปิดโปงตัวตนอะไรออกมาสู่สังคมแล้ว หากวันหลังเขาไปทำร้ายใครด้วยช่องทางโซเชียลอีก ก็จะได้รู้ว่าเป็นใคร หากมาขอโทษก็ได้ พร้อมรับคำขอโทษ ไม่ได้โกรธอะไรแล้ว
“หากมีใครมาทุบกระจกบ้านเรา เราต้องช่วยตัวเองก่อนไหม ต้องอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร เมื่อเราไปสอบถามจนได้ชื่อมาแล้ว เราต้องไปสอบถามว่าเป็นชื่อที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งที่เราได้ทำไปคือการไปสอบถามที่บริษัท เราต้องปกป้องตัวเองก่อนไหม หรือจะไปรอกระบวนการทางศาล ไม่รู้จะ 2 ปี 3 ปี 5 ปี 6 ปีก็ไม่รู้ บางที 15 ปีจะหมดอายุความแล้วด้วย อันนี้ถือเป็นการปกป้องตัวเองเหมือนกัน” อมรัตน์กล่าวทิ้งท้าย