วันนี้ (20 พฤศจิกายน) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาผู้เสียชีวิตร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง แอม-สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 36 ปี จำเลยที่ 1 ความผิดฐานฆ่าอื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ปลอมปนอาหาร ยา หรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย
ส่วน พ.ต.ท. วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 40 ปี อดีตสามีและอดีตรองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร (สภ.) สวนผึ้ง จำเลยที่ 2 และ พัช-ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ ทนายความ อายุ 36 ปี จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐานพร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 30 ล้านบาท
สำหรับคดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2566 สรารัตน์ จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า ศิริพร หรือ ก้อย อายุ 32 ปี โดยนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) ซึ่งเป็นสารพิษปลอมปนใส่ลงในอาหารหรือน้ำดื่ม ปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัด ให้ผู้ตายดื่มหรือรับประทาน
ระหว่างที่จำเลยที่ 1 กับผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนกัน เดินทางไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำ ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ก่อนที่ผู้ตายจะหมดสติ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การช่วยเหลือและนำทรัพย์สินผู้ตาย 9 รายการมูลค่า 154,630 บาทของผู้ตายไปให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ตามที่จำเลยที่ 3 ได้ใช้หรือยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาทรัพย์ของผู้ตาย เพื่อเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษตามกฎหมายหรือให้ได้รับโทษน้อยลง อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธต่อสู้คดี โดยจำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 2-3 ได้รับการประกันตัว โดยศาลตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท
ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ใส่กุญแจมือจำเลยทั้งสาม
ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้อง เห็นว่าสรารัตน์กระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อกระทำอย่างอื่น พิพากษาประหารชีวิต ส่วน พ.ต.ท. วิฑูรย์ และธันย์นิชา มีความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี
แต่ พ.ต.ท. วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วม 2.4 ล้านบาทเศษ
มีรายงานว่า สำหรับคดีนี้ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 3 ชั่วโมงเศษ ตั้งแต่ช่วงเวลา 09.30-12.30 น.