การแก้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาถือเป็นเรื่องยากและพูดกันมานานหลายสิบปี ปัญหานี้ยังคงอยู่กับเราไม่ไปไหน ไทยยังคงเต็มไปด้วยเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ไม่ได้เรียนต่อ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพใหญ่และกระทบกันทั้งประเทศ
ปัญหาที่ต้องแก้นี้สามารถทำได้ด้วยวิธีไหน มีหนทางใดบ้างที่จะทำให้เด็กๆ กลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงการศึกษาให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ มีชีวิตที่ดีกว่ารุ่นพ่อแม่ของตัวเอง
เด็กหลุดการศึกษาต้องแก้ที่ผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็ก
‘รายงานพิเศษความจริงและความเร่งด่วนของสถานการณ์เด็กนอกระบบในประเทศไทย’ จัดทำขึ้นโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ร่วมกับภาคีทั่วประเทศ ใช้ข้อมูลจำนวนมากตั้งแต่ปี 2562-2567 เพื่อหาหนทางแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ หรือ Thailand Zero Dropout พบว่าหลังวิกฤตโควิด-19 ไทยยังคงเผชิญกับปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา และมีความเสี่ยงว่าตัวเลขจะยังคงเพิ่มขึ้นทั่วประเทศไทย
รายการ KEY MESSAGES เคยพูดเรื่องนี้ไปแล้วว่าสถานการณ์ปีก่อนมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษามากถึง 1 ล้านคน โดยปัญหาเรื่องความยากจนมาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือปัญหาครอบครัว ตามมาด้วยการออกกลางคัน การไม่ได้รับสวัสดิการด้านการศึกษา ปัญหาสุขภาพ อยู่ในกระบวนการยุติธรรม และถูกกระทำความรุนแรง ซึ่งเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาส่วนมากจะเผชิญปัญหามากกว่า 1 เรื่อง
เราได้พูดคุยกับ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และพบว่าสถานการณ์ช่วงปลายปี 2567 มีแนวโน้มดีขึ้น เพราะสามารถดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา จากตัวเลขเดิมทีหลุดไปแล้วกว่า 1 ล้านคน ลดเหลือ 8 แสนกว่าคนได้ แต่สิ่งที่จำเป็นต้องทำต่อคือการหาวิธีป้องกันไม่ให้ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม ควบคู่กับวิธีช่วยเหลือเด็กที่หลุดจากระบบให้สามารถกลับเข้ามาเรียนได้อีกครั้ง
เด็กที่ไม่พร้อมกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาหมายถึงใครบ้าง ดร.ไกรยส ยกตัวอย่างเด็กบางคนที่ถูกทิ้งไว้กับตายายอายุมาก ต้องแบ่งเวลาเรียนไปทำงานพิเศษด้วย การอยู่ในห้องเรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็น รวมถึงกฎระเบียบที่เด็กจะขาดเรียนได้ไม่เกิน 20% ทำให้เด็กไม่สามารถอยู่ในระบบต่อไปได้
หรือกรณีเด็กหญิงวัย 15 ปี เป็นเด็กเรียนดีจากครอบครัวยากจน ปิดเทอมไปช่วยงานพ่อแม่ที่ไซต์ก่อสร้าง แต่ถูกคนงานข่มขืนจนตั้งท้อง และต้องออกจากระบบการศึกษากลางคัน หรือเด็กจากครอบครัวแรงงานที่ยังไม่ได้ลงหลักปักฐาน รายได้ไม่มั่นคงแน่นอน จึงยังไม่สามารถเอาลูกหลานเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ รวมถึงเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล ยิ่งโรงเรียนระดับสูงมากเท่าไหร่ ก็ต้องเดินทางไกลขึ้นมากเท่านั้น ทำให้การเรียนการสอนแบบที่เราคุ้นเคยกันดี ไม่ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กเหล่านี้
แน่นอนว่าเด็กๆ เหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐ พวกเขาต้องการระบบการศึกษาที่หลากหลายกว่าการศึกษาแบบปกติ รวมถึงความจำเป็นต้องแก้มุมมองของสังคมบางส่วน ที่มองว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ และโยนปัญหาทั้งหมดไว้ที่ตัวเด็กเพียงอย่างเดียว
เด็กหลุดการศึกษา สัมพันธ์กับเศรษฐกิจไทยที่กำลังแย่
จากการสำรวจพบว่ากว่าร้อยละ 80 ของเด็กนอกระบบ ไม่มีเป้าหมายทางการศึกษาและอาชีพที่ชัดเจน พวกเขายังคงไม่รู้ว่ามีวิธีใดบ้างที่จะทำให้มีอาชีพที่มั่นคงและหลุดพ้นจากความจน และโอกาสทางอาชีพของเด็กๆ ส่งผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ ที่ถ้าเราไม่แก้ไข ปัญหาก็จะบานปลายมากกว่าที่คิด
หากดูกราฟรายได้กับจำนวนปีที่เข้ารับการศึกษาโดยเฉลี่ยของประชาชนแต่ละประเทศ ไทยมีจำนวนปีการศึกษา 9 ปี ส่วนคนสิงคโปร์โดยเฉลี่ยมีการศึกษาอยู่ที่ 13 ปี รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 240,000 บาท ฮ่องกง 12 ปี รายได้เฉลี่ย 140,000 บาท ไต้หวัน 12 ปีเหมือนฮ่องกง มีรายได้เฉลี่ย 1 แสนบาท มาเลเซียแซงเราไปแล้วอยู่ที่ 11 ปี รายได้ต่อหัว 32,000-39,000 บาท ที่ ดร.ไกรยส คาดการณ์ว่ามาเลเซียอาจใกล้จะออกจากกับดักรายได้ปานกลางและกลายเป็นประเทศรายได้สูงเทียบเท่าประเทศที่เป็นเสือเศรษฐกิจ
ประเทศที่ถูกยกตัวอย่าง แรกเริ่มก็ไม่ได้มีสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่แข็งแรง แต่พวกเขาเลือกใช้การศึกษาเป็นตัวผลักดันให้ทุกอย่างดีขึ้น ดร.ไกรยส แสดงความคิดเห็นว่า ตอนนี้การศึกษาของอินโดนีเซียกับเวียดนามกำลังไล่ตามหลังไทยมาแล้ว และถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่ยอมขยับไปไหน อีกไม่นานพวกเขาก็จะสามารถแซงเราได้ในที่สุด
การศึกษาของเด็กล้วนเกี่ยวข้องกับทุกอย่าง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม แรงงาน การนำเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ก็จะทำให้เราสามารถผลิตแรงงานคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาด ส่งผลต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งกราฟได้แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าจำนวนปีของการศึกษาที่คนทั้งประเทศมี กับรายได้โดยเฉลี่ยต่อหัวต่อเดือน คือเรื่องเดียวกัน
เพราะฉะนั้นถ้าเราแก้ปัญหา Zero Dropout ให้บรรลุเป้าหมายได้ ทำให้เด็กนำสิ่งที่เรียนไปต่อยอดสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ยกระดับให้ตัวเองมีรายได้ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมีเด็กเหล่านี้มากขึ้น ก็จะเพิ่มโอกาสให้ประเทศไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง เข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศร่ำรวยของเอเชีย
อีกสิ่งหนึ่งที่ ดร.ไกรยส แสดงความกังวล คือมุมมองของหน่วยงานและสังคมที่มองมายังเด็กๆ กลุ่มนี้ เพราะยังมีความเข้าใจเดิมที่ว่าการแก้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามักเป็นการสงเคราะห์เด็ก บริจาคเงินให้เด็ก พอไม่เห็นความยั่งยืน ก็จะตำหนิว่าไม่น่าช่วยเหลือตั้งแต่แรก ทั้งที่ในความเป็นจริงการแก้ปัญหามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น
ดร.ไกรยส: “บางคนก็ชอบบอกว่ามันมีดราม่า แต่คือเราก็ต้องบอกว่าชีวิตของเด็กเขาไม่ได้พยายามจะดราม่าเลย อันนี้คือชีวิตตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับของเด็ก ที่มันไม่ต้องพยายามที่จะดราม่าอะไรเลย มันเป็นแบบนี้เอง เราก็แค่พยายามให้สังคมได้เข้าใจว่าชีวิตเหล่านี้เขายังมีความพยายามอยู่ แล้วมันมีปัญหา อุปสรรคที่เราต้องแก้ไขให้ได้ ก่อนที่เขาจะได้ไปเรียนหนังสือ”
ดร.ไกรยส: “มันเป็นเรื่องที่ต้องเป็นประสบการณ์ร่วมถึงจะเปลี่ยนความคิด คนที่อยู่บนหอคอยงาช้าง คนที่เกิดมาไม่เคยจน พูดอะไรออกมา คิดอะไรออกมา โดยที่ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยมีประสบการณ์ของความยากจนกับเด็กยากจนเหล่านี้ แล้วด่วนตัดสินใจ ด่วนสรุป แล้วพูดอะไรออกมาก็มักจะห่างไกลจากความเป็นจริง”
‘การเรียนทางเลือก’ อาจช่วยเด็กยากไร้หลุดกับดักยากจน
เวลานี้การศึกษาที่มีความยืดหยุ่นไม่ได้มีอยู่ทุกพื้นที่หรือมีให้กับทุกคน ทางออกของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การทุ่มทุนไปยังการค้นหาว่ามีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาแล้วเท่าไหร่ แต่ต้องเอาตัวเลขการสำรวจที่ได้มาส่งต่อให้หน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นแก่ทุกคน ทั้งคนรายได้น้อย รายได้ปานกลาง
เมื่อหลักสูตรการศึกษาแบบ 4 ปีของมหาวิทยาลัย ไม่ตอบโจทย์เยาวชนเหล่านี้ จึงเกิดการตั้งคำถามว่า หากลดระยะเวลา 4 ปี ให้เหลือเพียง 6 เดือนไปจนถึง 2 ปี จะทำให้เด็กมีโอกาสหลุดจากความยากจนเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งมาตรการที่ กสศ. เสนอต่อคณะรัฐมนตรี คือโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ที่จะให้การสนับสนุนทุนการศึกษาระยะสั้น 1 ปี ในหลักสูตรต่างๆ เช่น ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ การดูแลผู้สูงอายุ และทักษะการประกอบอาชีพอื่นๆ ที่เด็กจบวุฒิ ม.6 เข้ามาเรียนหนึ่งปีจนถึงอายุ 19 ปี ก็อาจจะทำให้เด็กสามารถออกไปทำงานและมีรายได้เริ่มต้นที่ใช้ชีวิตได้จริง
นอกจากจะเป็นทางเลือกให้กับเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา ได้กลับมามีโอกาสในอาชีพที่มีรายได้แน่นอน ขณะเดียวกันก็ได้ช่วยตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะกับเรื่อง Wellness ที่ไทยมักชูประเด็นนี้อยู่เสมอ ประกอบกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ความต้องการกำลังแรงงานในการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุในไทยจึงเพิ่มขึ้นตามมาด้วย
ดร.ไกรยส: “อันนี้ก็มาจากบทสนทนาและความตั้งใจที่จะดึงการศึกษาให้ได้มากขึ้น น้องเขาก็จะบอกว่า ‘ถ้าให้หนูกลับไปเรียน 3 ปี หนูไม่เอาเลย หนูแบบยอมไปทำงานดีกว่า’ เราก็ถามว่าแล้วระยะเวลาประมาณกี่เดือนหรือกี่ปีที่น้องรับได้ว่าจะกลับไปสู่การศึกษา เพราะว่า 1 ปี คือนานสุดแล้วที่พอจะกลับไปสู่การศึกษาได้ แต่ต้องขอให้มีงานทำเลย คือมันมีอะไรที่เรียน 1 ปีแล้วมีงานทำได้เลยไหม คือทั้งครอบครัวทั้งตัวเด็กเขาต้องการ มันก็เลยเป็นที่มาที่ กสศ. เราพยายามค้นหาหลักสูตรในลักษณะนี้”
ดร.ไกรยส: “หลักสูตรเรียนจบ ม.6 เรียนอีกสักหนึ่งปีและการันตีมีงานทำ มีรายได้ ออกจากความยากจนได้เลย เลยเป็นที่มาของหลักสูตร เราเริ่มต้นด้วยผู้ช่วยพยาบาลก่อน เพราะพยาบาลยังไงมันก็ต้องเรียน 3-4 ปีได้วุฒิ แต่ว่าพยาบาลเขาไม่สามารถที่จะทำงานทั้งหมดได้เอง เขาต้องมีผู้ช่วยใช่ไหม เวลาเราเข้าโรงพยาบาลเราก็จะรู้ พยาบาลจะเป็นคนเข้ามากับคุณหมอ แล้วก็จัดการอะไรให้เสร็จ แล้วพอเขาเดินออกไปจากห้อง ผู้ช่วยพยาบาลจะเป็นคนเข้ามาดำเนินการทำหัตถการต่างๆ ที่ช่วยเราได้ เช่นเดียวกับอีกหลักสูตรหนึ่งคือผู้ช่วยทันตแพทย์ หมอฟันหรือทันตแพทย์เขากรอฟันเรา อุดฟันเราไป แต่คนที่จะทำให้เรารอดไม่รอดจากเขียงนั้นคือผู้ช่วยทันตแพทย์”
ดร.ไกรยส: “มันโตไปกับตลาด Wellness ของเราที่มันโตแล้ว น้องเหล่านี้ไม่ได้ไปทำงานเพื่อคนไทยอย่างเดียว นักท่องเที่ยวใช่ไหม ต่างชาติเขาก็บินมารักษาแล้วก็บินกลับไป หรือมารักษาตัวระยะยาวกับเราอยู่หลายเดือน สิ่งที่กสศ. มองหาคือหลักสูตรที่ใช้เวลาหนึ่งปี เป็นหลักสูตรวิชาชีพ เป็นหลักสูตรที่ค่อนข้างการันตีรายได้ที่มั่นคง แล้วก็เป็นหลักสูตรที่อยู่ในการเติบโตของตลาดนั้นปีนี้ล่าสุดที่เราได้เจอ”
ไม่ใช่แค่อาชีพด้าน Wellness เท่านั้น แต่ไทยจำเป็นต้องสำรวจความต้องการแบบเฉพาะตามภูมิภาค เพื่อให้ได้อาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ เช่น หลายคนอาจไม่เคยนึกถึงอาชีพการซ่อมเรือยอชต์ การเลี้ยงผึ้ง หรือการเรียนการสอนเทคโนโลยีทางการเกษตรแบบสมัยใหม่
ดร.ไกรยส: “เคยนึกไหมว่าประเทศเรามีอู่จอดเรือยอชต์มากแค่ไหน แล้วก็เป็นเรือลำแพงๆ ที่พวกอินฟลูเอนเซอร์พวกต่างชาติเขามามีคอนโดอยู่ภูเก็ตกับพัทยา เขาไม่ได้มีแต่ห้องเพนท์เฮ้าส์ เขาจะมีเรือยอชต์จอดเทียบท่าไว้เลย มันต้องดูแลรักษา มันโดนแดดทุกวัน มันต้องทำสีเรื่อยๆ มันต้องซ่อมเรื่อยๆ มีอะไรให้เปลี่ยนตลอดเวลา มีอะไรให้ปรับปรุงต่อเติมอะไรตลอดเวลา แล้วเขาหาคนไทยเรื่องหัตถอุตสาหกรรม หัตถกรรมต่างๆ เก่ง งานพวกนี้ดี เราก็เจอหลักสูตรแบบนี้ที่แบบจบเท่าไหร่คือรับไม่อั้น แล้วก็ไปทำความร่วมมือกับวิทยาลัยที่ภูเก็ตเสร็จแล้วก็ไปทำงานได้เลย หลักสูตรแบบนี้มันต่อยอดได้ คนซ่อมเรือยอชต์ทำไปได้เรื่อยๆ เรียน ปวส. จบไปแล้ว ไปต่อเป็นคนขับก็ได้ ลองนึกดูสิคนที่ขับเรือยอชต์ได้ ซ่อมได้ รายได้จะดีแค่ไหน ถึงจุดหนึ่งก็ไปออกเป็นผู้ประกอบการเปิดอู่เอง ทำอะไรเองได้”
ดร.ไกรยส ยังมองอีกว่าการศึกษายุค Gen Alpha จะมีความแตกต่างจากปัจจุบันมากพอสมควร เราจะได้เห็นการศึกษาที่หลากหลาย แม้ใบปริญญายังคงเป็นเครื่องมือในการสร้างความสำเร็จทางอาชีพ แต่ก็ไม่ได้มากเท่าก่อน ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาเด็กหลุดการศึกษาในปีนี้ จากเดิมที่แก้ปัญหาด้วยการเด็กหลุดเอากลับเข้าโรงเรียนปกติอย่างเดียวเท่านั้น ก็เปลี่ยนมาเป็นการศึกษาทางเลือกให้มากขึ้น
ไทยต้องใส่ใจการศึกษามากกว่านี้
ดร.ไกรยศ ระบุว่าการแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไม่ใช่เรื่องง่าย และมีเหตุผลบางประการที่ทำให้เห็นว่าเพราะอะไรถึงไม่เคยมีใครพยายามนำเด็กยากจนไปเรียน สิ่งนั้นคือ ‘ค่าเสียโอกาส’ ของสถาบันการศึกษาในระดับชั้นนำของประเทศ
เพราะการทำหลักสูตรการศึกษาแบบทางเลือกอาจไม่ต้องใช้งบประมาณเยอะมากจนเกินไป แต่ต้องใช้ความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งก็ยังคงมีน้อยอยู่ เนื่องจากเด็กด้อยโอกาสที่เข้าโครงการการศึกษาเหล่านี้ อาจไม่ได้มีความคิด นิสัย หรืออะไรหลายอย่างแบบที่เคยเจอกับเด็กกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้มีฐานะยากจน ทำให้สถาบันการศึกษากับผู้ที่มีส่วนดูแล ต้องใช้แรงกายแรงใจกลับเด็กๆ กลุ่มนี้มากเป็นพิเศษ
ดร.ไกรยส: “ต้องเข้าใจว่าน้องเหล่านี้ไม่เคยจับเงินหลักพันบาทเลย แล้วพอเรามีรายจ่ายให้เขา เรามีค่าดูแลให้เขาเดือนละ 6,500 บาท ตอนหลังๆ พี่ต้องแบ่งจ่ายให้เขา คือทักษะชีวิตของเด็กที่พ่อแม่ไม่เคยเรียนสูงกว่า ป.6 เลย แล้วคนรอบๆ ข้างเขาไม่เคยมีโอกาสที่จะศึกษาวิชาชีพอะไรแบบนี้เลย มันมีช่องว่างที่กว้างมากในการดูแลให้เขาไม่หลุดออกไป แล้วก็เรียนให้จบในเวลาที่จำกัดให้ได้ มันมีความซับซ้อน แต่ถ้าเกิดมองในทางกลับกัน อาจารย์หมอทันตแพทย์กับอาจารย์หมอพยาบาล เขาไปสอนเด็กที่สอบ TCAS เข้ามา เขาสบายมากเลย ทุกคนตั้งใจเรียนสุดๆ ทุกคนอ่านหนังสือมา ดูแลตัวเองอย่างดี แล้วก็อยากจะรีบจบให้เร็วที่สุด นั่นคือโลกด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งที่เขาต้องมาสอนเด็กที่เป็นผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ ที่ กสศ. ไปค้นหามา”
ดร.ไกรยส: “ที่ขอนแก่นเขาก็เล่าให้พี่ฟังว่าไปค้นหาเด็ก เชื่อไหมทั้งหมู่บ้านไม่เคยมีใครทำฟันเลย แล้วผู้ปกครองเด็กไม่รู้จักอาชีพทันตแพทย์คืออะไร แล้วก็คิดว่าเป็นมิจฉาชีพมาหลอกหรือเปล่า หลังๆ เขาเลยต้องเอารถตู้ที่เป็นโลโก้ คณะมหาลัย แล้วมีตาสมเด็จพระเทพฯ เข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปนำเด็กออกมา เพราะฉะนั้นต้นทุนเหล่านี้แหละครับ คือสิ่งที่บางวิทยาลัยยอม บางวิทยาลัยไม่ยอม แต่ว่าสุดท้ายที่บางวิทยาลัย บางมหาวิทยาลัยเขายอม เขาไปเห็นสภาพเด็กแล้วเขาสงสาร เขาอยากที่จะช่วยให้เด็กออกจากความยากจน แต่ถามว่าจะให้ทำอีกรุ่น ขอพักสักปีได้ไหม เขาก็บอกเรามาเหมือนกันนะ คือต้องเข้าไปฟัง เข้าไปดู แล้วจะเข้าใจเลยว่ามันเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี”
เขามองว่ารัฐบาลจำเป็นต้องแบ่งงบประมาณให้กับภาคการศึกษามากขึ้น รวมถึงต้องมีส่วนร่วมในการพยายามโน้มน้าวให้มหาวิทยาลัยออกจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเอง มาช่วยผลิตหลักสูตรเพื่อเด็กด้อยโอกาสและเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาให้มากขึ้น
ส่วนในภาคการเมือง ประเด็นการศึกษาก็เจือจางกว่าที่คิด แล้วพอจะเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งใหญ่ระดับประเทศ เดี๋ยวประเด็นการศึกษาก็จะถูกยกมาพูดถึงกันอย่างมาก แต่พอการเลือกตั้งจบลง ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติแบบที่เราเห็นกันมาตลอด ประเด็นการศึกษาก็จะเจือจางแล้วไม่ค่อยถูกพูดถึง เป็นวงจรแบบเดิมๆ วนลูปแบบนี้เสมอมา
ดร.ไกรยส: “เห็นทุกพรรคจะพูดเรื่องการศึกษา แล้วพี่ก็เห็นทุกพรรคก็จะเสนอนู่นนี่นั่นแบบเยอะแยะมากมาย แต่เวลาไปขึ้นเวทีเดอะสแตนดาร์ด ลองสังเกตไหม คนที่ไปสัมภาษณ์ไม่ใช่เป็นรัฐมนตรีศึกษาสักคนเลย สุดท้ายเขาไปเอาใครก็ไม่รู้ว่าเป็นรัฐมนตรี ไอ้สิ่งที่มันอยู่บนเวทีอะไรเหล่านั้นมันไม่ค่อยไปถึง”
ดร.ไกรยส: “อันนี้เป็นอีกอันหนึ่งคือความต่อเนื่องของพันธสัญญาระหว่างผู้กำหนดนโยบายกับคนไทย กับสังคมไทยในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำมันต้องมีความต่อเนื่อง มันต้องเป็นภาพที่มีความชัดเจน แล้วก็ผลักดันให้ได้แล้วดูอภิปรายไม่ไว้วางใจตลอดสองวันที่ผ่านมา ก็ไม่มีเรื่องการศึกษาเลยใช่ไหม คือเรื่องเศรษฐกิจปากท้องมันก็จะไปได้อยู่ดี แต่คือการไปแก้เศรษฐกิจมันเป็นการแก้ที่ปลายทางแล้ว และมันใช้เงินเยอะในการอัดฉีดเข้าไปเป็นแสนล้าน ไปแก้หนี้ใช่ไหม ไปซื้อหนี้ ไปแจกเงินให้เขาไปทำมาหากินใช่ไหม ไปให้เขาตั้งตัว แต่สุดท้ายแล้วเรื่องที่เป็นตัวกำหนดสถานการณ์นี้ของประเทศไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้วก็คือความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา”
เพราะฉะนั้น การแก้ไขปัญหาความศึกษาเป็นการแก้ไขปัญหาที่ผู้กำหนดนโยบายสามารถเคลมความสำเร็จได้ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ประชาชนพร้อมที่จะให้เครดิต เพราะว่าถ้าไม่ได้ประเทศไทยจะวนอย่างนี้ จะวนอยู่กับการซื้อนโยบายระยะสั้น ซื้อนโยบายแก้ปัญหาที่ปลายทาง
ถ้าไทยสามารถยุติปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโตขึ้นร้อยละ 1.7 ของ GDP เพราะรายได้ตลอดชีวิตของเด็กๆ จะเพิ่มสูงขึ้น มีโอกาสหลุดจากกับดักความจนมากขึ้น และลดจำนวนลูกหลานที่ไม่สามารถสำเร็จการศึกษาที่สูงกว่ารุ่นพ่อแม่ตัวเองได้ ที่หวังว่าสักวันหนึ่ง ไทยจะสามารถกลับไปยืนอยู่ในจุดที่การศึกษาดีกว่าหลายประเทศได้อย่างที่เคยเป็นมา


