ต้นปี 2013 ก่อนหน้าฟุตบอลโลกที่บราซิลจะมาถึง มีข่าวใหญ่เกิดขึ้นในดินแดนลูกหนังต้องมนตร์
เนย์มาร์ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกย้ายไปสโมสรใดในยุโรป
ข่าวการย้ายทีมครั้งนั้นเป็นมหากาพย์อยู่พอสมควร เนื่องจากทุกสโมสรใหญ่ในยุโรปต่างปรารถนาที่จะได้ตัวนักเตะผู้มีพรสวรรค์ส่องสว่างดุจแสงอาทิตย์ แม้กระทั่งในหมู่แฟนฟุตบอลทั่วโลกเองก็จับตาเพราะอยากเห็นลีลาการเล่นมหัศจรรย์ของเด็กคนนี้
ซานโตส – สโมสรแห่งเดียวกับราชาลูกหนังตลอดกาล เปเล่ – ต้นสังกัดของเขาที่เฝ้าทะนุถนอมมาอย่างดีเป็นระยะเวลาหลายปี ประกาศก่อนว่าพวกเขาได้รับข้อเสนอจากสโมสร 2 แห่ง ที่เดากันได้ไม่ยากว่า 2 สุดยอดสโมสรของโลกคือสโมสรใดบ้าง
แต่ที่สุดแล้วเนย์มาร์ได้ประกาศการตัดสินใจด้วยตัวของเขาเองว่าเขาเลือกที่จะย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนา
โดยในเกมสุดท้ายของเขากับซานโตสที่ต้องเจอกับฟลาเมงโก เนย์มาร์ยืนร้องไห้ในระหว่างการบรรเลงเพลงชาติบราซิล
เพราะอาลัยและไม่รู้ว่าจะเป็นการลงสนามที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่
บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในที่ลานพาร์คพารากอน หน้าห้างสยามพารากอน
เนย์มาร์ จูเนียร์ เป็นหนึ่งในกลุ่มนักฟุตบอลที่เดินทางมาเพื่อร่วมทำกิจกรรมโปรโมต ‘Phantom Venom’ รองเท้าฟุตบอลรุ่นใหม่ล่าสุดของ Nike ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ประเทศไทยด้วย ร่วมกับรุ่นพี่อีก 2 คนในทีม คือ อเล็กซิส ซานเชซ และ อาเดรียโน คอร์เรอา
เวลานั้นเขาเพิ่งจะย้ายมาร่วมทีมบาร์เซโลนาได้ไม่นาน และเป็นที่จับตามองอย่างมากด้วยชื่อเสียงระบือลั่นตั้งแต่ครั้งยังโลดแล่นอยู่ในบ้านเกิดกับซานโตส
ในโลกลูกหนังตอนนั้นเชื่อกันว่าเนย์มาร์คือผู้เล่นที่มีโอกาสจะก้าวขึ้นมาท้าทาย ลิโอเนล เมสซี ในการช่วงชิงตำแหน่งราชาลูกหนังคนต่อไป ด้วยสไตล์การเล่นสุดมหัศจรรย์พันลึกที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ไม่น้อยไปกว่าซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนตินา
และสำหรับชาวบราซิลแล้ว เขาคือ Saviour ผู้ที่เป็นความหวังของชาติที่จะพา ‘ลา กานารินญา’ ลบล้าง ‘คำสาปของกิ๊กเกีย’ ผู้ฉีกหัวใจคนบราซิลทั้งชาติในเกมโศกนาฏกรรมลูกหนัง ‘มาราคานาโซ’ เมื่อปี 1950
ความหวังนี้ทำให้ชีวิตของเนย์มาร์ถูกกำหนดเส้นทางเอาไว้ตั้งแต่ต้นท่ามกลางการทะนุถนอมจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทีมงานของเจ้าตัวเอง ซานโตส สหพันธ์ฟุตบอลแห่งชาติบราซิล (CBF) หรือ Nike ในฐานะผู้สนับสนุนหลักคนสำคัญ (ทั้งกับตัวเนย์มาร์และทีมชาติบราซิล) เพื่อไม่ให้พรสวรรค์เดินได้คนนี้ต้องหลงทิศหรือหลงทางจนสูญเสียทุกอย่างไปก่อนเวลาอันควร
จนกระทั่งทุกอย่างสุกงอมได้ที่ ถึงแก่เวลาอันควรจะได้ไปทดสอบและเติบโตในอีกขั้นที่ยุโรป การเดินทางไปสู่บาร์เซโลนาจึงเกิดขึ้น โดยที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายท้ายๆ ของช่วงพรีซีซันที่บาร์เซโลนาเดินทางมาทัวร์เอเชีย
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผม – ซึ่งขณะนั้นช่วยงานของ Nike อยู่ด้วยในฐานะ Content Creator รุ่นแรกๆ ก่อนที่จะมีการบัญญัติคำนี้ในเวลาต่อมา – ได้มีโอกาสพบกับนักเตะที่อยากเจอสักครั้ง
ระยะห่างระหว่างกันมีเพียงแค่ราวเหล็กกั้น เนย์มาร์ซึ่งดูเป็นคนขี้อายพอสมควรเมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชนนั่งหลบมุมรอ
นี่หรือผู้ที่จะท้าชนกับเมสซี? คือสิ่งที่ผมคิดในใจในขณะนั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เนย์มาร์เป็นหนึ่งในนักเตะที่ผมสอดส่องสายตามองหาอยู่เรื่อยๆ ด้วยอยากรู้ความเป็นไปและความมหัศจรรย์ในการเล่นของเขา
ในช่วงแรกนั้นผลงานของเขาไม่ดีเท่าไรนัก ด้วยการที่ยังปรับตัวไม่ได้กับเกมฟุตบอลยุโรปที่ทั้งคุณภาพสูงกว่าและหนักหน่วงกว่าในบราซิล ความทดท้อใจบังเกิดกับเจ้าตัวอยู่ไม่น้อย
จุดเปลี่ยนนั้นอยู่ที่วันหนึ่งที่เขาเล่นได้แย่จัด ทำผิดทำพลาดไปหมด เลี้ยงบอลก็ไม่ผ่านใครเลย ทำให้เนย์มาร์เสียใจจนแอบไปหลบมุมร้องไห้คนเดียว แต่เมสซีเดินตามหาจนพบและถามว่า “ร้องไห้ทำไม?” และพยายามให้กำลังใจโดยบอกว่าอย่าไปคิดมาก ให้เป็นตัวของตัวเองเข้าไว้
คำพูดของเมสซีช่วยปลดล็อกความรู้สึกให้กับเนย์มาร์ เขาค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
ในความรู้สึกของเนย์มาร์ที่เขายืนยันด้วยปากและหัวใจตัวเอง เมสซีคือ ‘ไอดอล’ ของชีวิตและความสัมพันธ์ รวมถึงความผูกพันระหว่างทั้งสองนั้นแนบแน่นเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
เพียงแต่เรื่องการยกย่องเมสซีเช่นนี้เองก็อาจมีส่วนที่ทำให้เขาไปไม่ถึงปลายทางเหมือนกัน
เนย์มาร์ใช้เวลา 2-3 ปีในการพิสูจน์ตัวเองในฐานะซูเปอร์สตาร์ของบาร์เซโลนา แต่ไม่มีสักครั้งที่เขาคิดที่จะขึ้นมาเป็นคู่แข่งหรือแซงหน้าเมสซีในทีม แม้กระทั่งในช่วงที่เล่นได้ดีที่สุดของชีวิตในยุคสมัย ‘MSN’ ที่เป็นการประสานงานของ 3 สุดยอดนักเตะแห่งยุคอย่าง เมสซี, (หลุยส์) ซัวเรซ และเนย์มาร์
เขาไม่ได้คิดหรือแสดงออกว่าอยากจะเป็นที่หนึ่ง สิ่งที่เนย์มาร์ต้องการคือการได้เล่นด้วยกันกับเมสซี (และซัวเรซเฉยๆ)
ตรงนี้จึงเป็นคำถามที่เราไม่มีวันหาคำตอบได้ว่าถ้าหากเนย์มาร์มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของโลกจริงๆ ในวันนั้น
เขาจะเป็นราชาลูกหนังคนใหม่ได้ดังคำทำนายหรือเปล่า?
เพราะจากถ้อยคำที่เขาให้สัมภาษณ์กับโรมาริโอเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เนย์มาร์เล่าถึงช่วงการตัดสินใจที่เป็นจุดหักเหของชีวิตในการเลือกรับข้อเสนอของปารีส แซงต์ แชร์กแมง – ทีมที่เจอทีเด็ดของเขาในเกมระดับตำนานที่เนย์มาร์พาบาร์ซาพลิกนรกชนะสุดมัน 6-1 – เพื่อย้ายออกจากคัมป์นูแบบที่ไม่มีใครอยากเชื่อในฤดูร้อนปี 2017
คนที่พยายามเปลี่ยนใจเขาคือเมสซี ที่ขอคุยด้วยและบอกว่า “จะย้ายไปทำไม อยู่ที่นี่เถอะ เดี๋ยวจะปั้นให้เป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกเอง”
เวลานั้นคนต่างคิดว่าเนย์มาร์อยากจะย้ายออกจากบาร์ซาเพื่อออกจากเงาของราชาลูกหนังอย่างเมสซีที่ยังดูไม่มีแววโรยรา
แต่เนย์มาร์ตอบเมสซีไปว่าเขาไม่ได้คิดอยากจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกหรอก การย้ายไปเปแอสเชในครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานเรื่องส่วนตัว
หนึ่งคือข้อเสนอทางการเงินของเปแอสเชเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธได้สำหรับนักฟุตบอลผู้มีชีวิตการทำงานจำกัดในระยะเวลาสั้นๆ แค่สิบกว่าปี
สองคือที่ปารีสมีเพื่อนชาวบราซิลอยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็น ติอาโก ซิลวา, ดานี อัลเวส, มาร์ควินญอส, ลูคัส มูรา คนเหล่านี้ก็เป็นเพื่อนของเขาเหมือนกัน และเขาก็อยากมีโอกาสจะเล่นกับเพื่อน
การตัดสินใจครั้งนั้นมีผลอย่างยิ่งที่ทำให้เส้นทางของเนย์มาร์ไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น เพราะแม้ว่าตัวของเขาจะอยู่ในช่วง Prime ที่กำลังเล่นได้ดีที่สุด พร้อมด้วยพรสวรรค์ สภาพร่างกาย วัยวุฒิ คุณวุฒิต่างๆ แต่สภาพแวดล้อมและองค์ประกอบอื่นๆ ไม่เอื้อด้วย
และที่สำคัญที่สุดคือเขามักจะโชคร้ายบาดเจ็บหนักเสมอในทุกปี
มีการอำกันตลกๆ สำหรับคนอื่นที่มักจะพูดแซวกันว่าเนย์มาร์จะเจ็บเสมอเมื่อใกล้ถึงวันเกิดของน้องสาวในวันที่ 11 มีนาคม
เพียงแต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีนักฟุตบอลคนไหนอยากจะเจ็บจะป่วยหรอก และการบาดเจ็บของเนย์มาร์มันเกิดขึ้นบ่อยจนเกินไป หลายครั้งที่เจ็บหนักจนต้องกินระยะเวลาหลายเดือน
การบาดเจ็บในช่วงก่อนโค้งสุดท้ายของฤดูกาลหมายถึงการที่เขาพลาดช่วงเวลาสำคัญเสมอกับเปแอสเช
ไม่นับฝันร้ายที่ไม่เคยหายไปอย่างการพลาดเกมรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 กับเยอรมนี เพราะโดน ฮวน ซูนิกา กระโดดตีเข่าเข้ากลางหลังจนเกือบกลายเป็นผู้พิการ
ครั้งเดียวจริงๆ ที่เนย์มาร์พาเปแอสเชไปถึงหน้าประตูและปลายทางของสิ่งที่ปรารถนาได้คือนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2019/20 แต่สุดท้ายก็พ่ายให้แก่บาเยิร์น มิวนิก ที่แข็งแกร่งกว่า
สิ่งเหล่านี้มีส่วนในการบั่นทอนจิตใจของเขาอย่างมาก
ไม่นับความสัมพันธ์ที่เลวร้ายระหว่างเขากับ คีเลียน เอ็มบัปเป ซึ่งเนย์มาร์บอกว่าตอนแรกก็เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเมสซีย้ายมาเปแอสเชด้วย และเกิด ‘อิจฉา’ (เพราะเนย์มาร์สนิทกับเมสซีมากกว่า) ที่ตอนจบแล้วทั้งเมสซีและตัวเขาตัดสินใจย้ายออกจากถิ่นปาร์ค เดส์ แพรงซ์
โดยในช่วงเวลานั้นผู้คนต่างคาดหวังว่าเนย์มาร์จะเลือก ‘ฟุตบอล’ มากกว่า ‘เงิน’
แต่สุดท้ายเขาเลือกทางเลือกที่มีไม่มากนักด้วยการตอบรับข้อเสนอจากอัล ฮิลาล และย้ายไปซาอุดีอาระเบียในฐานะ ‘โปสเตอร์บอย’ อีกคนของดินแดนทะเลทราย
หลายคนคิดว่านี่คงเป็นฉากสุดท้ายของเจ้าชายลูกหนังคนนี้แล้ว
มั่งคั่งแต่เดียวดายเป็นไม้ยืนต้นตายกลางทะเลทราย
แต่เพราะทุกอย่างที่ซาอุดีอาระเบียก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เนย์มาร์ผู้ถูกซื้อตัวมาด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งมากพอๆ กับค่าตัวนักเตะระดับท็อปในยุคปี 2025 ได้สบายๆ กลายเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่
18 เดือนที่ผ่านมาเขาลงสนามแค่ 7 นัด ทำไปแค่ 1 ประตู เนื่องจากเกิดบาดเจ็บหนักตั้งแต่ช่วงที่ย้ายมาใหม่ๆ โดยที่เจ้าตัวเองก็ขาดแรงจูงใจที่จะฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการลงสนามอีกครั้งด้วย
สิ่งนี้ทำให้อัล ฮิลาล ต้องการกำจัดเขาออกจากทีม
แต่มันกลับเป็นความหวังอีกครั้งสำหรับเนย์มาร์และคนที่รักเขา เพราะเป็นโอกาสที่จะได้กลับมาสู่เส้นทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง ต่อให้มันอาจจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายก็ตาม
ข่าวประโคมกันหนาหูในหลายทิศทาง บางข่าวชวนตื่นเต้น เช่นการเชื่อมโยงกับอินเตอร์ ไมอามี เพื่อกลับไปปิดฉากตำนาน ‘MSN’ กับเมสซีและซัวเรซในสหรัฐอเมริกา
หรือการกลับมาสู่อ้อมกอดของบาร์เซโลนาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าปลายทางสำหรับเนย์มาร์ในตอนนี้ ซึ่งอาจจะเป็นปลายทางของชีวิตการเล่นด้วย คือการกลับบ้านที่ซานโตส
เรื่องนั้นเกิดขึ้นจากการที่พ่อของเขาได้ติดต่อกับประธานสโมสรซานโตส ซึ่งต้องการได้กองหน้าเข้ามาเสริมทีมและเคยพยายามติดต่อ จอช วินดาสส์ (ลูกชายของ ดีน วินดาสส์) ศูนย์หน้าของเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ในลีกล่างของอังกฤษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
อยากได้เนย์มาร์กลับมาไหม?
เรื่องนี้มันแทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับสโมสรที่ไม่ได้ร่ำรวยอย่างซานโตส จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายทั้งค่าตัวและค่าเหนื่อย?
แต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้กำลังจะเป็นไปได้ เพราะอัล ฮิลาล ประกาศยกเลิกสัญญาของเนย์มาร์ แยกทางจากกันด้วยดี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ขอรับเงินค่าเหนื่อยที่มีสิทธิ์จะได้รับจากสโมสรอีกจำนวนหลายสิบล้านปอนด์
เพื่อจะได้กลับ ‘บ้าน’ อีกครั้ง
การตัดสินใจกลับบ้านครั้งนี้ของเนย์มาร์อาจถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวที่น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับนักเตะผู้มีพรสวรรค์ในระดับสูงสุดของโลก
จะมองแบบนั้นก็ได้ไม่ผิดอะไร คนอย่างเนย์มาร์ถ้าทำตัวดีกว่านี้ ตั้งใจกว่านี้ ดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ และคิดอ่านดีกว่านี้ ปลายทางของเขาคือนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองใคร
มันจึงเป็นนิทานลูกหนังที่ตอนจบอาจจะไม่สมหวังสำหรับคนอื่น
แต่มันอาจจะเป็นตอนจบอีกแบบ (Alternate Ending) ที่ดีที่สุดสำหรับเนย์มาร์ก็เป็นได้เหมือนกัน และอย่างน้อยที่สุดมันก็น่าจะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ถูกต้องที่สุดในตอนนี้
ในวัย 32 ปี เนย์มาร์ยังพอเหลือโอกาสกับทีมชาติบราซิลในฟุตบอลโลก 2026 ที่สหรัฐอเมริกาอยู่ ซึ่งแม้จะไม่มีรู้ว่าเขาจะคิดถึงเรื่องนี้จริงหรือไม่ แต่การกลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย และได้รับการโอบกอดจากแฟนบอลของตัวเอง
มีโอกาสที่ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ
แต่ต่อให้สุดท้ายแล้วเนย์มาร์จะไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นนักเตะคนเก่าได้ ขั้นต่ำที่สุดที่เขาจะได้จากการตัดสินใจครั้งนี้คือการได้มีความสุขกับการเล่นฟุตบอลอีกครั้ง
เขาไม่ใช่ยอดนักเตะบราซิลคนแรกที่ขอกลับบ้าน
โรนัลโด, โรนัลดินโญ, ริคาร์โด กาก้า, อาเดรียโน หรือ ติอาโก ซิลวา ก็กลับมาทั้งนั้นเมื่อถึงเวลา
กับเนย์มาร์ ไม่ว่าจะกลับมาตอนไหนอย่างไร
คนบราซิลมีความรักรอเขาอยู่เสมอ
จะมีอะไรดีกว่านี้อีก?