ก่อนจะได้ชม Altered Carbon ซีรีส์ไซไฟสุดล้ำผลงานเรื่องล่าสุดจาก Netflix ในวันพรุ่งนี้ (2 ก.พ.) THE STANDARD บินไกลไปร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวถึงประเทศเกาหลี พิเศษยิ่งกว่านั้นคือ Netflix เปิดโอกาสให้ได้นั่งคุยกับ เลต้า คาโลกริดิส ผู้อำนวยการสร้างที่เคยมีผลงานอย่าง Avatar และ Shutter Island และทีมนักแสดงนำอย่าง โจเอล คินนาแมน, มาร์ธา ธิกาเรดา, ดิเชน แลชแมน แบบใกล้ชิดถึงที่มาที่ไปก่อนจะกลายมาเป็นซีรีส์สุดล้ำให้เราได้ชม เบื้องหลังฉากแอ็กชันสุดเซ็กซี่ รวมไปถึงทัศนคติที่พวกเขามีต่อสังคมทุกวันนี้
สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักซีรีส์เรื่องนี้ Altered Carbon ว่าด้วยโลกในยุคอนาคตอีก 300 ปีข้างหน้า ที่ ‘มนุษย์’ สามารถเปลี่ยนสติสัมปชัญญะ จิตใต้สำนึก ความทรงจำ และความสามารถของคนใดคนหนึ่งมาบันทึกเก็บไว้ในรูปแบบดิจิทัล ทั้งยังถ่ายโอนข้อมูลนั้นไปสู่ร่างกายใหม่ที่มีศักยภาพมากกว่า (คล้ายๆ การถ่ายข้อมูลใน The Matrix เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อมูล แต่เป็นความทรงจำของมนุษย์คนหนึ่งจริงๆ)
นอกจากเนื้อเรื่องจะมีความซับซ้อนน่าติดตามว่าโลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดไหน Altered Carbon ยังเป็นซีรีส์ที่มีครบทุกรส จากการสืบสวนคดีฆาตกรรมปริศนาของมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ที่ได้ใช้บริการจิตใต้สำนึกของยอดนักรบเมื่อ 300 ปีที่แล้วมาคลี่คลายปัญหา จะทำให้เราได้เห็นทั้งเล่ห์เหลี่ยมในการฆาตกรรม ความลุ้นระทึกในการแก้ปัญหา ฉากแอ็กชันที่สมจริง มิตรภาพ ความรัก การหักหลัง และเซ็กซ์ เกิดขึ้นอย่างมีชั้นเชิงตลอดทั้ง 10 เอพิโสด
และวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายทำชุดนี้น่าจะทำให้คุณตัดสินใจเสียเวลาอดนอนกับ 10 ตอนของ Altered Carbon ได้ง่ายยิ่งขึ้น
https://www.youtube.com/watch?v=Ex9mcCs3dhE
(จากซ้ายไปขวา ดิเชน แลชแมน, โจเอล คินนาแมน, เลต้า คาโลกริดิส และมาร์ธา ธิกาเรดา)
อะไรคือแรงบันดาลใจให้คุณเลือกหยิบนวนิยายเรื่อง Altered Carbon มาสร้างเป็นซีรีส์ในครั้งนี้
เลต้า: ฉันเป็นเพื่อนกับนักเขียนนวนิยายเรื่องนี้ (ริชาร์ด เค. มอร์แกน) แล้วก็ประทับใจในเนื้อหาที่ซับซ้อน ล้ำสมัย และคอนเซปต์ของเรื่องที่ว่าด้วยการบรรจุความทรงจำหรือสติสัมปชัญญะของตัวเองส่งผ่านไปยังร่างกายของคนอื่นได้ รวมทั้งการมีทีมโปรดักชันดีไซเนอร์ที่เก่งมากๆ ที่เคยร่วมงานกันมา และคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่เราจะเอาภาพที่เคยคิดไว้จากการอ่านหนังสือ แล้วเอามาสร้างให้ทุกคนได้เห็นกันจริงๆ นอกจากเนื้อเรื่องสนุกๆ ที่เอามาจากนวนิยายแล้ว เรายังเอาสถาปัตยกรรมจากในนวนิยายมาสร้างเป็นภาพให้เห็นกันทั้งหมด อย่างตึกสูงที่ลอยทะลุก้อนเมฆและอีกหลายๆ อย่างที่น่าตื่นเต้นมากๆ และหวังว่าทุกคนจะชอบมัน
ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง คุณมองเห็นข้อแตกต่างหรือความยากง่ายในการผลิตระหว่างซีรีส์ Altered Carbon กับโปรเจกต์ใหญ่อย่าง Avatar อย่างไรบ้าง
เลต้า: Altered Carbon มีความซับซ้อนมากกว่าในเรื่องเนื้อเรื่องที่เอามาเล่า แต่ก็จะง่ายกว่าเพราะอย่างน้อยเรามีเนื้อเรื่องจากหนังสือที่นำทางให้เราอยู่แล้ว หน้าที่ของเราคือนำเรื่องยาวทั้งหมดมาดัดแปลงเป็นตอนๆ เหมือนเรื่องสั้นหลายๆ เรื่อง ซึ่งยอมรับว่าอาจจะมีหลายประเด็นที่ตกหล่นไปบ้าง เพราะข้อจำกัดหลายๆ อย่างทำให้ไม่สามารถเล่าได้ทั้งหมด แต่ทีมงานก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ผลงานที่ออกมาสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ความน่าสนใจอย่างหนึ่งใน Altered Carbon คือฉากแอ็กชันที่ผสมผสานความเซ็กซี่ของเรือนร่างนักแสดงไว้ด้วยกัน โจเอลในฐานะนักแสดงหลักมีวิธีในการจัดสมดุลระหว่าง 2 พาร์ตนี้อย่างไรบ้าง
โจเอล: อันนี้เป็นจุดแข็งของโปรเจกต์นี้ ที่พวกเราพยายามแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในมุมมองที่ไม่เคยมีมาก่อน เราทำการบ้านกันอย่างหนักโดยเฉพาะฉากแอ็กชันที่ต้องฝึกซ้อมและเตรียมการเป็นอย่างดี หรืออย่างฉากที่ต้องถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคน 250 คน ก็ถือว่าเป็นความท้าทายใหม่เลยนะ (หัวเราะ) ที่ทำให้ผมและทีมงานช่วยยกระดับตัวเองไปอีกขั้นในการทำให้ตื่นเต้นและไม่เกินเส้นของความเซ็กซี่มากเกินไป
นอกจากนี้สิ่งที่สนุกและท้าทายมากในเรื่องนี้คือ ผมพยายามจินตนาการตัวละครที่ผมเล่นเป็นเหมือนสัตว์ชนิดต่างๆ ที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างกันไป อย่างเช่น ในเวลาบุกโจมตี ผมจะจินตนาการว่าตัวเองเป็นเสือที่ต้องสงบนิ่ง อดทน และรวดเร็วดุดันเมื่อถึงเวลาที่ต้องโจมตีเหยื่อ
เนื้อเรื่องหลักของ Altered Carbon คือการสร้างชีวิตเสมือนจริงที่คล้ายกับเทคโนโลยีโคลนนิ่งในปัจจุบัน ส่วนตัวแล้วคุณคิดเห็นอย่างไรกับการสร้างแบบจำลองมนุษย์ ถ้าวันหนึ่งเทคโนโลยีสามารถเกิดขึ้นได้จริง
เลต้า: ฉันคิดว่าไม่แตกต่างจาก IVF (การปฏิสนธินอกร่างกาย) หรือวิธีการอื่นๆ ในการสร้างมนุษย์ แต่ถ้าพูดกันจริงๆ ฉันคิดว่าเราไม่ควรจะไปถึงจุดนั้นได้ในเร็วๆ นี้ เพราะประเด็นนี้คงต้องได้รับการถกเถียงในเรื่องมนุษยธรรมกันอีกนานทีเดียว
ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์แบบในเรื่อง ที่นอนหลับไปแล้วตื่นมาในอีก 250 ปีให้หลัง คิดว่าอะไรคือสิ่งที่พวกคุณคาดหวังว่าจะได้เห็นบนโลกใบนี้
โจเอล: ผมคิดว่าเราจะสามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเลได้ และเลิกเสียเงินไปกับการทำสงคราม และรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดไปที่มีเพื่อศึกษาสิ่งที่อยู่นอกโลกของเรา ซึ่งนั่นคงต้องรอเวลาอีกหลายร้อยปีจริงๆ เพราะเท่าที่ดูตอนนี้ การเลิกทำสงครามไม่ใช่อะไรที่มนุษย์กำลังพยายามทำอยู่แน่ๆ
เลต้า: เห็นด้วยกับโจเอล ฉันคาดหวังว่าจะตื่นมาแล้วพบกับด้านที่ถูกพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นของมนุษย์มากขึ้นกว่านี้ ฉันจินตนาการไม่ออกนะว่าจะมีอะไรบ้าง แต่ฉันหวังว่ามันจะดีขึ้น
ถ้าพวกคุณอยู่ในสถานการณ์แบบในเรื่อง ที่สามารถนำสติสัมปชัญญะของตัวเองไปใส่ในร่างกายคนอื่นได้ คุณอยากเกิดใหม่อีกครั้งในร่างกายของใคร
มาร์ธา: ถ้าตอบแบบง่ายๆ ฉันอยากเป็นเหมือนผู้ชายสักคนที่ดูแข็งแรงมากๆ เพราะในฐานะผู้หญิงฉันคงไม่มีทางรับรู้ความรู้สึกแบบนั้นได้แน่ๆ แต่ประเด็นนี้มีคำถามที่มากกว่านั้นคือ ต่อให้เราสามารถเป็นใครก็ได้ตามที่ต้องการ แต่เราควรจะทำอย่างนั้นกันจริงๆ หรือเปล่า อย่างในปัจจุบันที่สังคมเรามีการศัลยกรรมพลาสติก ปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาให้เป็นคนอื่น เราปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกของเราได้ แต่เราควรจะใช้เวลาไปกับเรื่องเหล่านั้น มากกว่าเอาเวลามาทำความเข้าใจตัวตนข้างในของเราจริงๆ หรือ
ดิเชน: ประเด็นหลักที่นำเสนอในเรื่องนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่คุณอยากเป็นใคร แต่มันตั้งคำถามว่า ที่จริงแล้วคุณคือใครกันแน่ อะไรคือความหมายของการมีชีวิต ซึ่งสิ่งที่อยู่ภายในเหล่านี้ต่างหากที่เราควรใส่ใจและทำความเข้าใจกับมันให้มากขึ้น
พวกคุณต้องเตรียมตัวกับการแสดงในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะฉากแอ็กชันทั้งหมดในเรื่องนี้ดูโหดร้ายและหนักหน่วงมากๆ เลยเหมือนกันนะ
มาร์ธา: ใช่ มันยากมากๆ แต่โชคดีที่เราเรามีทีมนักแสดงที่เคมีเข้ากันได้ดี และมีความเป็นห่วงเป็นใยให้กันอยู่ตลอดเวลา มันช่วยได้มากเหมือนกันนะ ในการทำให้มีแรงสู้กับบทบาทยากๆ ที่พวกเราทุกคนต้องเจอ
ดิเชน: มันมีหลายฉากที่พวกเราต้องเผชิญกับความซับซ้อนของโครงสร้างฉากที่เราต้องเข้าไปถ่ายทำ อย่างฉากต่อสู้ที่นักแสดงต้องถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นพร้อมกับปิดตา แล้วอยู่ในฉากที่มีเศษแก้วอยู่เต็มไปหมด เหมือนเวลาเราเดินบนน้ำแข็งและไม่ได้ใส่รองเท้า เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีอะไรรอพวกเราอยู่ข้างหน้า แต่ด้วยความที่พวกเราเป็นเพื่อนกัน เข้าใจกันและกัน ก็ทำให้เราสามารถผ่านฉากยากๆ มาได้ด้วยดี
มีหนังไซไฟเรื่องไหนบ้างที่ประทับใจพวกคุณเป็นพิเศษบ้าง
มาร์ธา: หนังเรื่องแรกที่ฉันดูและจำได้แม่นคือ Aliens ที่ต้องแอบเอามาจากห้องนอนของพ่อแม่เพื่อมาดู และฉันก็ชอบมันมากๆ จนกลายเป็นแฟนคลับหนังแนวนี้ไปเลย
ดิเชน: ฉันเป็นแฟนตัวยงของหนังไซไฟเลยนะ โดยเฉพาะหนังที่มีบทการต่อสู้ของผู้หญิงอย่าง The Matrix หรือ Terminator แต่ที่ชอบที่สุดคงยกให้บทเข้าหญิงเลอาในเรื่อง Star Wars เพราะนั่นคือต้นแบบของผู้หญิงที่แข็งแกร่ง ที่สามารถยืนหยัดอยู่ท่ามกลางอันตรายได้ดีที่สุดแล้ว
ในฐานะนักแสดงหญิง คุณคิดว่านอกจากบทบาทที่ได้รับในภาพยนตร์หรือซีรีส์แต่ละเรื่อง ในชีวิตจริงผู้หญิงสามารถมีพลังหรือความแข็งแกร่งนั้นออกมาขับเคลื่อนโลกได้มากขนาดไหน
ดิเชน: เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมองว่าผู้หญิงคือส่วนหนึ่งที่สำคัญในโลก เป็นสิ่งล้ำค่า ไม่มีใครปฏิเสธและพรากมันไปจากความเป็นจริงได้ โดยเฉพาะปัจจุบันในบางครั้งก็มีวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่คอยกำหนดกรอบว่าผู้หญิงควรเป็นอย่างไร แต่ที่จริงแล้วผู้หญิงก็มีพลังมากพอที่จะพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นได้ไม่ต่างจากผู้ชายเหมือนกัน
มาร์ธา: เวลาได้ยินคนพูดว่าผู้หญิงและผู้ชายจะต้องเท่าเทียมกัน ซึ่งฟังดูแล้วมันควรจะเป็นแบบนั้นนะ แต่สำหรับฉันอาจจะมองเรื่องนี้แตกต่างออกไปบ้าง ฉันรู้สึกว่าผู้หญิงและผู้ชายถูกสร้างมาเพื่อความแตกต่าง เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะใช้คำว่าเท่าเทียมกันได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผู้หญิงและผู้ชายต่างมีจุดแข็งที่ไม่เหมือนกัน เรามีเรื่องที่ทำได้ดีและทำได้ไม่ดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการส่งเสริมซึ่งกันและกันให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม และพัฒนาโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้ให้ดีขึ้น