ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันนักลงทุนไทยส่วนใหญ่มักจะลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ซึ่งหากเทียบให้เห็นภาพนี่เป็นส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ทว่าจริงๆ แล้วหากมองเข้าไปในการลงทุนในระดับโลก ยังมีสิ่งที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งที่นักลงทุนไทยยังไม่รู้จักอีกมาก
ซึ่งใต้ภูเขาน้ำแข็งที่ว่าคือการลงทุนใน ‘Private Assets’ ซึ่งแม้จะมีการลงทุนที่เข้าถึงยากกว่าสินทรัพย์แบบ Public Assets แต่ก็แลกมาด้วย ‘ผลตอบแทน’ ที่สูงกว่า และ ‘ความเสี่ยงด้านราคา’ ที่ต่ำกว่า
เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นเพราะการลงทุนใน Public Assets ก็ต้องแลกมาด้วยการที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ จึงมีทั้งนักลงทุนรายย่อยหรือกลุ่มที่เก็งกำไรจำนวนมาก ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ละเอียดอ่อนมากระทบจึงส่งผลต่อสินทรัพย์ประเภทนี้อยู่มาก เช่น การระบาดของโควิดแรกๆ ในเดือนมีนาคม 2020 หุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศต่างติดลบ -35 ถึง -40% ด้วยกัน กระทั่งการเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนก็ส่งผลเช่นกัน โดยตลาดหุ้น Nasdaq ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาปรับตัวลง -20% ส่วนหุ้นจีนลดลง -35 ถึง -40%
แม้การลงทุนใน Public Assets จะมีสภาพคล่องที่มากกว่า แต่ก็แลกมากับความผันผวนระหว่างทางที่สูงมาก ซึ่งเกิดจากการที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองในระยะสั้นและระยะกลาง มากกว่าการลงทุนใน Private Assets ซึ่งนักลงทุนมักจะมองถึงผลในระยะยาวมากกว่า
สิ่งนี้สะท้อนได้จากผลตอบแทนจากการทบต้นต่อปีจากการถือหน่วยลงทุน โดยหากลงทุน 5-10 ปี การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่หรือ Private Assets ในสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนที่ไม่แตกต่างกันมากนั่นคือ 10% กว่าๆ เหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างชัดมากๆ คือการลงทุนในระยะยาว เช่น 15 ปี หรือ 25 ปี เราจะค้นพบว่าผลตอบแทนใน Private Assets น่าสนใจกว่ามาก ด้วยตัวเลขผลตอบแทนมากกว่า 10% ทบต้นต่อปี
ขณะที่ Preqin ซึ่งเปรียบได้กับ Bloomberg แห่งโลกของ Private Assets ได้สำรวจนักลงทุนจากสถาบันทั่วโลกนับพันคน โดยพบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ระบุถึงความตั้งใจที่จะเพิ่มการลงทุนในกลุ่ม Private Assets มากขึ้น ซึ่งเหตุผลมาจากการมองเห็นถึงเทรนด์การสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า อันมาจากความเสี่ยงด้านราคาต่ำกว่า
โดยหากอ้างอิงข้อมูลเงินกองทุนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสแตนฟอร์ด มีการลงทุนใน Private Assets กว่า 30-50% ขณะที่ Provident Fund และนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของโลกมีสัดส่วนการลงทุนใน Private Assets ที่เยอะมากและตั้งใจจะลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้
เหล่านี้เองกลายเป็นโอกาสที่ ‘ALLY Global Management’ ซึ่งเป็น ‘ไพรเวท อิควิตี้ (Private Equity)’ มองเห็นและอยากให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนแบบ Private Assets ซึ่งหากย้อนกลับไป 5-10 ปีที่แล้ว การที่นักลงทุนไทยจะเข้าถึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
กฤษฏิ์ เอี่ยมสกุลรัตน์ Managing Partner ของ ALLY Global อธิบายว่า ปัจจุบันนักลงทุนไทยค่อนข้างมีข้อจำกัดในการลงทุนอยู่พอสมควร ไม่ว่าจากประเภทสินทรัพย์หรือจากการเข้าถึงสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับนักลงทุนในระดับโลก จึงทำให้การลงทุนมีข้อจำกัด ถึงแม้จะมีรูปแบบการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ แต่ก็ต้องผ่านตัวกลางมากมาย ซึ่งจะมีการคิดค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และในส่วนของผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นค่อนข้างจะทำให้เกิดความเสียเปรียบนักลงทุนในต่างประเทศ
“เรามองเห็นโอกาสนี้ที่จะสามารถช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนโดยตรงโดยที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางมากมาย ซึ่งจะเป็นการบั่นทอนผลประโยชน์ลงไปอีก”
สำหรับ ALLY Global เป็นบริษัทการลงทุน (Alternative Investment – Private Equity Investment) ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารการลงทุนมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ที่นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส กรุงเทพฯ และสิงคโปร์
ALLY Global เน้นการลงทุนใน 4 ธุรกิจหลักทั่วโลก โดยเน้นองค์ประกอบของธุกิจที่มีความมั่นคงและอนาคตเติบโตสดใส และเน้นการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูง มีทรัพย์สินหรือกระแสเงินสดรองรับ ได้แก่
- อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
- สื่อและความบันเทิง (Media and Entertainment)
- อุตสาหกรรมด้านบริการและโรงแรม (Hospitality)
- การลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโต ยั่งยืน และพลังงานสะอาด (Growth, Sustainability and Green Energy)
ความน่าสนใจคือ ALLY Global วางกลยุทธ์การลงทุนแบบ Leadership Strategy หรือกลยุทธ์แบบผู้นำที่เหนือกว่า อันมีหลักการที่สำคัญจำนวน 2 เรื่องด้วยกัน คือ
เรื่องแรกการลงทุนร่วมกับผู้ก่อตั้งกองทุนชื่อดัง ซึ่งเราจะเห็นมาโดยตลอดว่าเขาสามารถเข้าถึงโอกาสที่ดีกว่าผู้อื่นอยู่เสมอสำหรับการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนในระดับที่สูง
ส่วนเรื่องที่ 2 ทาง ALLY Global ทำงานร่วมกับพันธมิตรกองทุนระดับโลกและบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากมาย ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการลงทุนอย่างมากในธุรกิจประเภทต่างๆ นอกจากนั้น ALLY Global ยังได้ทำงานร่วมกับทุกพาร์ตเนอร์อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะเข้าใจถึงเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และเพื่อโอกาสการเข้าลงทุนในสินทรัพย์นั้นโดยตรง เพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุดกับนักลงทุน
“พาร์ตเนอร์หลายคนของเราที่เคยเป็นหัวหน้าทีมด้านการลงทุนอสังหาฯ ในธนาคารขนาดใหญ่ทั่วโลก ทำให้เรารู้จักและคัดเลือก Operator ที่ดีที่สุดในตลาดหลักๆ ให้เราได้ดูและเลือกของดีก่อนคนอื่น ซึ่งเห็นได้จากผลตอบแทนในการลงทุนของเราที่มีตั้งแต่ 18-40% ต่อปี ในทุกการลงทุน” กฤษฏิ์กล่าว
ขณะเดียวกัน ตัวกฤษฏิ์ก็มีดีกรีที่ไม่ธรรมดา เพราะตัวเขานั้นจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และยังได้จบปริญญาโท สาขาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Master of Science, Global Real Estate ) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางตัวเลือกการลงทุนที่มีอยู่มากมาย สิ่งที่ ALLY Global นั้นมีความโดดเด่นและต่างกับการลงทุนแบบแพลตฟอร์มทั่วไปคือ
- ALLY Global ลงทุนในสินทรัพย์โดยตรงและผลตอบแทนสูงกว่า โดยแพลตฟอร์มการลงทุนทั่วไปจะลงทุนแบบต่อลงมาหลายขั้น ซึ่งทำให้การลงทุนทั่วไปอาจไม่ได้มีโอกาสเป็นสินทรัพย์ที่ดีได้ ทำให้การลงทุนทั่วไปได้รับผลตอบแทนต่ำกว่ามาก
- ALLY Global มีโอกาสที่จะเข้าถึงสินทรัพย์ที่ดีมากก่อนบริษัทอื่นๆ เพราะ ALLY Global มี Local Operator เป็นพันธมิตรหลัก ซึ่งมาจากการสร้าง Connection ชื่อเสียง และความชัดเจนที่ ALLY Global มีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
- ALLY Global เลือกเฉพาะสินทรัพย์ที่ดีและมีศักยภาพสูง เช่น ทำเลที่ดีที่สุดหรือธุรกิจที่มีความชัดเจนเรื่องการเติบโตและผลตอบแทน โดยมีจุดยืนเรื่องราคาที่จะลงทุนและมีความเข้าใจผู้ขาย ทำให้เกิดความเป็น Partnership ที่เหนียวแน่น
“เมื่อปีก่อนเราเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา โดยเราสามารถซื้อในราคาที่ถูกกว่าที่ดินในเมืองไทยถึง 3 เท่า ในขณะเดียวกัน เรากลับสามารถขายได้แพงกว่า 20% ซึ่งนี่คือผลงานของ ALLY Global”
ภายใน 5 ปีต่อจากนี้ ALLY Global มีเป้าหมายที่ขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสู่ 5,000 ล้านดอลลาร์ โดยเป้าหมายนี้มาจากการมองเห็นแนวโน้มการลงทุนในภาคเอกชนของประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรปและเอเชียหลายประเทศ ต่างมองว่าการลงทุนแบบไพรเวท อิควิตี้ (Private Equity) สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนทั่วๆ ไป
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ally-global.com