×

All Blacks กับการสร้างทีมกีฬาที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกรักบี้: ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นจากความผิดหวัง

22.08.2019
  • LOADING...
All Blacks

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • All Blacks คือทีมรักบี้ประจำชาติของนิวซีแลนด์ที่ครองแชมป์โลกสองสมัยล่าสุด และรักษาตำแหน่งทีมอันดับหนึ่งของโลกตลอดสิบปีที่ผ่านมา
  • ความสำเร็จของ All Blacks เริ่มต้นจากความล้มเหลวในศึกชิงแชมป์โลกปี 2007 ที่ประเทศฝรั่งเศส 
  • ในปี 2011 คือปีแรกที่พวกเขาคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จเป็นสมัยที่สอง ปิดฉากความล้มเหลวของปี 2007 และตอกย้ำความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์โลกสองสมัยติดต่อกันเป็นทีมแรกในปี 2015 
  • รวมถึงรักษาตำแหน่งทีมอันดับหนึ่งของโลกมายาวนานกว่า 509 สัปดาห์หรือเกือบสิบปี และยังเป็นทีมเต็งในศึกรักบี้ชิงแชมป์โลก 2019 ที่กำลังจะมาถึงในประเทศญี่ปุ่น 

ก่อนที่รักบี้ชิงแชมป์โลก 2019 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชียที่ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 20 กันยายน ถึง 2 พฤศจิกายนนี้ ทุกฝ่ายต่างยกย่องทีม All Blacks รักบี้ทีมชาตินิวซีแลนด์ เจ้าของแชมป์โลกสองสมัยล่าสุดให้เป็นเต็งแชมป์อีกครั้ง 

 

โดยเว็บไซต์ Rugby Vision โดย ดร.ไนเวน วินเชสเตอร์ (Niven Winchester) นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ MIT ที่ค้นคว้าความเป็นไปได้เพื่อคาดเดาผลการแข่งขันรักบี้ในระดับประเทศและสากล เชื่อว่า All Blacks มีโอกาสคว้าแชมป์โลกอีกสมัยถึง 49.6% ตามมาด้วยแอฟริกาใต้แชมป์โลกสองสมัย ที่ 14.6% และอังกฤษแชมป์โลกปี 2003 ที่ 13.5% 

 

All Blacks

 

ด้วยฟอร์มการเล่นที่ดุดันและรวดเร็ว บวกกับดาวรุ่งหน้าใหม่ที่พร้อมขึ้นมาทดแทนทีมชุดปัจจุบันได้ทุกเมื่อ แม้ว่าตำนานและผู้เล่นแกนหลักของทีมทั้ง แดน คาร์เตอร์ และ ริชชี แม็กคาว จะเกษียณไปตั้งแต่พาทีมป้องกันแชมป์โลกเมื่อปี 2015 แล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ทำให้พวกเขายังเป็นทีมที่ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งของโลกมาเป็นเวลา 509 สัปดาห์หรือเกือบสิบปี แม้ล่าสุดจะเสียตำแหน่งนี้ให้กับทีมชาติเวลส์ ซึ่งมีโค้ชเป็น วอร์เรน แกตแลนด์ โค้ชชาวนิวซีแลนด์เช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2019 

 

หลายคนอาจมองว่ารักบี้เป็นกีฬาอันดับหนึ่งของประเทศนิวซีแลนด์ ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งตั้งแต่โครงสร้าง แต่หากใช้เหตุผลนี้กับฟุตบอล อังกฤษชาติมหาอำนาจทั้งด้านการเงินและการพัฒนาฟุตบอลจากพรีเมียร์ลีก ก็ควรที่จะได้แชมป์โลกมากกว่าหนึ่งสมัยไปแล้ว 

 

เราจึงจะมาสำรวจถึงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ช่วยให้ All Blacks แข็งแกร่งตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน และเหตุใดพวกเขายังคงจะเป็นทีมที่เป็นเต็งแชมป์โลกอีกหลายสมัยในอนาคต

 

จุดเริ่มต้นจากความผิดหวัง

 

All Blacks

 

รักบี้ชิงแชมป์โลกปี 2007 ที่ประเทศฝรั่งเศส เป็นปีที่แฟน All Blacks คาดหวังสูงมาก หลังจากที่พวกเขาเอาชนะทีมสหภาพรักบี้ไลออนส์อังกฤษและไอร์แลนด์ ที่รวมดาวจากยุโรปเมื่อปี 2005 ไปแบบถล่มทลาย

 

ด้วยขุมกำลังที่มีทั้ง แดน คาร์เตอร์, ริชชี แม็กคาว และ โจ โรโกโตโก้ ซึ่งหากเปรียบเป็นฟุตบอลโลกก็เหมือนกับฟุตบอลทีมชาติบราซิลชุดแชมป์โลกปี 2002 ที่มีทั้งความสมบูรณ์แบบและความลงตัว 

 

แต่ความฝันและความคาดหวังของพวกเขาดับสลายลงเมื่อต้องโคจรมาพบกับเจ้าภาพฝรั่งเศสในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และพลาดท่าพ่ายไป 18-20 ตกรอบก่อนรองชนะเลิศไปอย่างไม่น่าเชื่อ 

 

วันนั้นเป็นเหมือนวันที่ทั้งประเทศนิวซีแลนด์เงียบเหงาและมึนงง ว่าทีมที่มีความพร้อมและมั่นใจในทุกด้าน และมีโอกาสคว้าแชมป์โลกสมัยที่สองต่อจากครั้งแรกที่ทำไว้เมื่อปี 1987 ตกรอบได้อย่างไร 

 

ความคาดหวังที่แตกสลายของแฟนกีฬาทั้งประเทศตกลงบนบ่าของเหล่านักกีฬาชุดนั้น พวกเขาเดินทางกลับมายังประเทศนิวซีแลนด์มือเปล่า พร้อมต้องเผชิญหน้ากับแฟนกีฬาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง 

 

“เรากำลังจะกลับบ้านไปพร้อมกับความผิดหวัง เรากลับบ้านไปพร้อมกับความรู้สึกว่าเราไม่สามารถทำในสิ่งที่เราต้องทำได้ และนั่นคือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับผม” ริชชี แม็กคาว กัปตันทีมหมายเลข 7 ให้สัมภาษณ์หลังความพ่ายแพ้ในปี 2007  

 

“เราไม่รู้เลยว่าตอนที่เราถึงบ้านแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะทั้งประเทศผิดหวังมากกับพวกเรา ในสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยจริงๆ”

 

“All Blacks All Blacks All Blacks” 

 

All Blacks

 

เสียงแรกที่นักกีฬาทีมชาตินิวซีแลนด์ได้ยินหลังจากลงจอดที่สนามบินในไครสต์เชิร์ช คือ เหล่าแฟนกีฬาเดินทางมาตะโกนอย่างสุดเสียงให้กับฮีโร่ของพวกเขา แม้จะเป็นวันที่พวกเขากลับมาแบบมือเปล่า 

 

“ตอนที่เราเดินทางถึงสนามบินในไครสต์เชิร์ช เราพบเจอกับแฟนกีฬาหลายพันคน และพวกเขามาพร้อมกับกำลังใจที่ดี พวกเขาต้อนรับทีมกลับประเทศเป็นอย่างดี” เกรแฮม เฮนรี โค้ชทีมชาตินิวซีแลนด์ให้สัมภาษณ์ถึงจุดจบของรักบี้ชิงแชมป์โลกปี 2007 หลังจากเครื่องบินนำพานักกีฬากลับถึงประเทศ 

 

แต่หลังจากทุกการต้อนรับจบลง เวลาของความจริงก็ปรากฏขึ้น เมื่อทุกฝ่ายเริ่มมองหาต้นตอของความล้มเหลว 

 

หลายฝ่ายในเวลานั้นชี้นิ้วไปที่บุคคลทั้งสามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งบริหารจัดการทีม เกรแฮม เฮนรี โค้ชทีมชาตินิวซีแลนด์ สตีฟ เฮนสัน โค้ชกองหน้า และโค้ชทีมชาติชุดปัจจุบัน และ เวย์น สมิธ ผู้ช่วยโค้ช 

 

มีเสียงเรียกร้องให้พวกเขาลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อผลงานในศึกชิงแชมป์โลกล่าสุด แต่พวกเขาทั้งสามตัดสินใจว่าจะสู้ต่อไปอีกครั้ง เนื่องจากทั้งทีมงานและนักกีฬายังเชื่อมั่นในกันและกัน ในการเดินหน้าไปสู้ศึกชิงแชมป์โลกอีกครั้ง

 

ในเวลาเดียวกันนี้ยังมีอีกชื่อที่ปรากฏขึ้นบนพื้นที่สื่อคือ รอบบี้ ดีนส์ โค้ชมากความสามารถจากทีม Crusader สโมสรรักบี้ชั้นนำของนิวซีแลนด์ 

 

แต่สุดท้าย หน้าที่ในการบริหารทีมก็เป็น เกรแฮม เฮนรี ที่ได้รับตำแหน่งต่อไป ส่วน รอบบี้ ดีนส์ ตัดสินใจย้ายไปคุมทีมชาติออสเตรเลียคู่อริตลอดกาลของ All Blacks ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศออสเตรเลียที่มีโค้ชทีมชาติรักบี้เป็นชาวต่างชาติ 

 

หลังจากการปรับทีมภายใต้การคุมทีมของโค้ชชุดเดิม ทุกคนพร้อมเริ่มต้นใหม่  พร้อมกับการเป็นเจ้าภาพรักบี้ชิงแชมป์โลก 2011 ที่จัดขึ้นในประเทศนิวซีแลนด์ 

 

All Blacks

 

หนึ่งในนักกีฬาหน้าใหม่ในทีมชุดนี้คือ สตีเฟน โดนัลด์ ผู้เล่นตำแหน่งฟลายฮาล์ฟ หมายเลข 10 ซึ่งได้รับโอกาสลงสนามในเกมที่เกาะฮ่องกงเมื่อปี 2010 ในช่วงนาทีสุดท้าย สตีเฟน โดนัลด์ มีหน้าที่เตะบอลออกนอกสนามเพื่อจบการแข่งขัน แต่เขาดันเตะไปเข้ามือของทีมออสเตรเลียจนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในนาทีสุดท้ายของทีม 

 

แฟนกีฬาหลายคนเรียกร้องให้เขาถูกตัดชื่อพ้นจากทีม แต่สุดท้ายโดนัลด์ก็ยังได้รับโอกาสต่อท่ามกลางเสียงต่อต้านจากแฟนๆ 

 

ระหว่างการเตรียมทีมและประเทศสำหรับการเป็นเจ้าภาพรักบี้ชิงแชมป์โลก 2011 สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ไครสต์เชิร์ช จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 185 คน ช่วงเวลานี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนในเมือง รวมถึงความมั่นใจการเป็นเจ้าภาพ

 

All Blacks

 

แต่รอยแยกบนผืนแผ่นดินกลับช่วยให้ประชาชนและทีมชาติ All Blacks รวมใจเป็นหนึ่งเดียว และเตรียมพร้อมที่จะสู้เพื่อชัยชนะที่จะมอบความสุขคืนให้กับไครสต์เชิร์ชอีกครั้งในศึกรักบี้ชิงแชมป์โลกปี 2011 

 

“หลังจากที่ผู้คนได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่นำมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจ พวกเราทุกคนขอบอกว่า Kia Kaha (ภาษาเมารีซึ่งเป็นคำอวยพรที่แปลว่า ขอจงมีความเข้มแข็งตลอดไป)” เสียงผู้ประกาศกล่าวคำรำลึกต่อผู้ประสบภัยในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ไครสต์เชิร์ช ก่อนเกมอุ่นเครื่องระหว่าง All Blacks และ Fiji

 

และแล้วรักบี้ชิงแชมป์โลก 2011 ก็เดินทางมาถึง พร้อมกับสถานะเต็งแชมป์โลกตกอยู่บนบ่าของทีม All Blacks อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีทีมคู่อริตลอดกาลอย่างออสเตรเลีย ที่มีขุมกำลังที่น่ากลัวและพร้อมที่จะทำให้พวกเขาขายหน้าด้วยการพลาดแชมป์โลกอีกสมัยในบ้านของตัวเอง 

 

เริ่มต้นในรอบแบ่งกลุ่ม All Blacks พบกับปีศาจที่ทำให้พวกเขาล้มเหลวเมื่อ 4 ปีก่อนตั้งแต่รอบแรก นั้นคือทีมชาติฝรั่งเศส สุดท้ายพวกเขาก็สามารถล้างแค้นได้สำเร็จด้วยการเอาชนะฝรั่งเศสไปได้ 37-17 แต่ฝันร้ายก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งก่อนที่เกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มกับแคนาดาจะมาถึง 

 

ระหว่างที่แดน คาร์เตอร์ นักกีฬาตัวหลักของทีมกำลังซ้อมเตะ เขาวางลูกเตะครั้งที่หนึ่งผ่านไปไม่เข้าเป้า ครั้งที่สองผ่านไปไม่เข้าเช่นกัน การเตะครั้งที่สามผ่านไป ทั้งสนามได้ยินเสียงของคนที่ไม่เคยแสดงอาการความเจ็บปวดให้ใครเห็นมาก่อนดังลั่นไปทั่วสนาม เสียงนั้นมาจาก แดน คาร์เตอร์ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการซ้อม ทำให้เขาต้องจบทัวร์นาเมนต์ในทันที 

 

โคลิน สเลด คืออีกหนึ่งดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมารับแรงกดดันในตำแหน่งหมายเลข 10 ที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริงแทน เขาสามารถโชว์ฟอร์มได้ดีในเกมสุดท้ายที่ All Blacks เอาชนะแคนาดาไป 79-15 และคว้าแชมป์กลุ่มไปครองได้สำเร็จ 

 

อาร์เจนตินาคือชื่อทีมที่ปรากฏขึ้นอีกฝั่งของ All Blacks ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แรงกดดันของการขาดนักกีฬาคนสำคัญ บวกกับการตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อ 4 ปีก่อนยังคงเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวของทั้งทีม All Blacks และแฟนกีฬาทุกคน

 

เวลา 80 นาทีผ่านพ้นไปด้วยชัยชนะเหนืออาร์เจนตินา พวกเขาเอาชนะแรงกดดันทั้งในและนอกสนามด้วยสกอร์ 33-10 แต่ผลกระทบจากเกมนี้คือการสูญเสียผู้เล่นหมายเลข 10 อีกครั้ง โคลิน สเลด ตัวเลือกที่สองได้รับบาดเจ็บหนัก จน แอรอน ครูเดน ตัวเลือกที่สามในตำแหน่งหมายเลข 10 ลงสนามมาแทน และต้องรับบทบาทนี้ต่อจนจบทัวร์นาเมนต์

 

แต่ในจังหวะที่ All Blacks กำลังเฉลิมฉลองชัยชนะ เกรแฮม เฮนรี เฮดโค้ชเดินเข้าไปยังห้องแต่งตัวและแจ้งข่าวว่า ในรอบรองชนะเลิศพวกเขาต้องเจอกับออสเตรเลีย ทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ 

 

All Blacks เฉลิมฉลองที่จะได้เจอความท้าทายกับคู่อริตลอดกาลในรอบรองชนะเลิศ เพื่อเป็นการแก้มือรอบรองชนะเลิศเมื่อปี 2003 ที่ออสเตรเลียเขี่ยพวกเขาตกรอบไปในปีนั้น 

 

ออสเตรเลียหรือเจ้าของฉายา Wallabies ในเวลานั้นเป็นอีกหนึ่งทีมตัวเต็งของทัวร์นาเมนต์ แต่ All Blacks ที่ผ่านความเจ็บปวดจากศึกชิงแชมป์โลกหลายครั้งที่ผ่านมา สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้ และเอาชนะออสเตรเลียไป 20-6 พร้อมกับฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของพวกเขา 

 

ป้ายสุดท้ายสู่แชมป์โลก พวกเขาผ่านเข้าไปพบกับฝรั่งเศส ผู้ที่ทำลายความฝันของพวกเขาเมื่อสี่ปีก่อนอีกครั้ง 

 

Kapa o pango kia whakawhenua au i ahau! 

 

เสียง Haka แบบพิเศษของทีม All Blacks ดังกระหึ่มขึ้นกลางสนามอีเดนพาร์ก สนามซึ่งพวกเขาไม่แพ้ใครมาตั้งแต่ปี 1986 แต่ในขณะเดียวกันฝรั่งเศสซึ่งรู้ดีว่าฝันร้ายของ All Blacks เมื่อสี่ปีก่อนยังคงไม่จางหายไปจากจิตใจของนักรักบี้เหล่านี้ และตัดสินใจเดินหน้าเข้าไปท้าทาย Haka อย่างใกล้ชิด 

 

All Blacks

 

เกมนัดชิงเป็นไปอย่างดุเดือด All Blacks ซึ่งขาดผู้เตะทำคะแนนจาก Penalty หลักจากที่เสียนักเตะหมายเลข 10 ตัวหลักไปแล้วถึงสองราย ต้องหวังพึ่ง พิรี วีปู ที่ปกติเล่นในตำแหน่งหมายเลข 9 หรือฮาล์ฟแบ็กมาเตะแทน แต่เขาก็พลาดโอกาสทำคะแนนขึ้นนำก่อนอยู่หลายต่อหลายครั้ง 

 

จน All Blacks ได้ Try แรกจากจังหวะไลน์เอาต์ ที่ทีมเซตแผนมาส่งให้ โทนี วูดค็อก วิ่งเข้าไปวาง Try ได้อย่างสะดวก พาทีมขึ้นนำก่อน  5-0 แต้ม ตั้งแต่นาทีที่ 15 

 

แต่สิ่งที่ไม่มีแฟน All Blacks คนไหนอยากให้เกิดก็เกิดขึ้น ก่อนหมดเวลาครึ่งแรกเพียงแค่ 6 นาที แอรอน ครูเดน ในตำแหน่งหมายเลข 10 ที่ถูกเรียกมาติดทีมในฐานะตัวสำรองคนที่สาม ไม่สามารถลุกขึ้นด้วยตัวเองหลังจากที่โดนทีมฝรั่งเศสแท็กเคิล  

 

แฟน All Blacks ทุกคนจำได้ดีว่า ตอนที่มองไปที่ม้านั่งสำรองแล้วพบกับความรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากตัวสำรองคนที่อยู่ในตำแหน่งนี้คือ สตีเฟน โดนัลด์ ผู้ที่หลายฝ่ายเรียกร้องไม่ให้เขาติดทีมชาติ เนื่องจากความผิดพลาดครั้งก่อน 

 

แต่ สตีเฟน โดนัลด์ ก็เดินลงสนามมาพร้อมกับความมั่นใจบนสีหน้า และได้รับโอกาสเตะจุดโทษในนาทีที่ 46 

 

All Blacks

 

แฟน All Blacks ทั้งประเทศหยุดหายใจ และมองลูกบอลลอยออกจากเท้าของโดนัลด์ไปในอากาศมุ่งไปสู่เสาประตูของทีมฝรั่งเศส 

 

มีเพียงโดนัลด์ที่หันหลังกลับไม่มองผลงานของตัวเอง ก่อนที่เสียงเฮทั้งสนามจะดังขึ้นตอบรับผลสำเร็จของการเตะจุดโทษของเขาพาทีมขึ้นนำ 8-0 

 

แต่นาทีต่อมาฝรั่งเศสก็ทำ Try แรกได้สำเร็จ และตีตื้นขึ้นมาเป็น 7-8 เกม ในช่วงเวลาที่เหลือเต็มไปด้วยความกดดัน ซึ่งแรงกดดันอยู่กับฝั่ง All Blacks ที่เล่นในบ้านของตัวเอง พร้อมกับสถานะเต็งแชมป์อีกครั้ง 

 

“สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาต้องใจเย็น โดยเฉพาะตัวผมเอง” ริชชี แม็กคาว ให้สัมภาษณ์ย้อนไปถึงความทรงจำในรอบชิงปี 2011 

 

“สิ่งที่เรากลัวที่สุดในเวลานั้นคือความผิดหวังในปี 2007 เราจะรับมือกับมันอย่างไร ลูกทีมจะรับมืออย่างไร แม่ผมจะรับมืออย่างไร เราจะใช้ชีวิตต่อไปในประเทศนี้ได้อีกหรือไม่ถ้าเราพลาดอีก” เกรแฮม เฮนรี เฮดโค้ชกล่าวถึงช่วงท้ายเกมนัดชิงปี 2011 

 

ซึ่งครั้งนี้พวกเขาไม่ปล่อยถ้วยแชมป์โลกให้หลุดมือไป และสุดท้ายคว้าแชมป์โลกสมัยที่สองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะฝรั่งเศสไป 8-7 คะแนน จนกลายเป็นยุคเริ่มต้นของทีม All Blacks ที่ยึดตำแหน่งทีมอันดับหนึ่งของโลก และแชมป์โลกสองสมัยล่าสุดมาจนถึงรักบี้ชิงแชมป์โลกครั้งนี้ 

 

All Blacks

 

 

All Blacks กับการสร้างทีมกีฬาที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกรักบี้: ตอนที่ 2 ต่อยอดความสำเร็จจากระบบเยาวชนที่แข็งแกร่ง

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X