อัลฟอนโซ กัวรอน (Alfonso Cuarón) เป็นผู้กำกับชาวเม็กซิกัน วัย 57 ปี ที่หลายๆ คนรู้จักกันดีในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์จาก Gravity (2013) แต่นอกจากหนังอวกาศเรื่องนี้แล้ว เขายังกำกับภาพยนตร์คุณภาพอีกหลายเรื่อง ทั้ง Children of Men (2006), Y Tu Mamá También (2001) และ Great Expectations (1998) ล่าสุดเขาได้กำกับหนังเรื่องใหม่ที่เป็นตัวเก็งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเวทีออสการ์ที่กำลังจะมาถึง นั่นคือ Roma ภาพยนตร์แห่งปีที่เราดูแล้วและบอกได้เลยว่า ‘ยอดเยี่ยมและงดงาม’
THE STANDARD ได้โอกาสสุดพิเศษในการสัมภาษณ์ อัลฟอนโซ กัวรอน แบบเอ็กซ์คลูซีฟเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา ซึ่งบทสัมภาษณ์นี้อาจทำให้คุณรีบกดเข้า Netflix หรือไปจองตั๋วดู Roma ในโรงภาพยนตร์ทันทีที่อ่านจบ!
อ่านบทความภาพยนตร์เรื่อง Roma ได้ที่ thestandard.co/roma-alfonso-cuaron
มีคนอยากรู้เยอะมากๆ ว่าทำไมคุณถึงชอบถ่ายลองเทกเหลือเกิน ตั้งแต่ Children of Men, Gravity รวมถึงใน Roma เองด้วย มันมีความหมายแฝงอยู่หรือเปล่า
ใช่ ผมอยากจะให้ความสำคัญกับเวลาและพื้นที่ (time, space) คุณรู้ไหมว่าโมเมนต์ต่างๆ มันจะลื่นไหลไปตามเวลาของมัน และโมเมนต์เหล่านั้นก็ลื่นไหลไปตามพื้นที่ด้วย ในบริบทของสิ่งที่คุณเห็นจะไม่ใช่แค่ในจอภาพยนตร์ แต่มันคือสิ่งที่อยู่นอกจอด้วย อีกอย่างคือผมต้องการความสัมพันธ์ระหว่างฉากหน้ากับพื้นหลัง (foreground, background) ระหว่างคาแรกเตอร์และสิ่งแวดล้อมรอบๆ ที่มันส่งเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งส่ิงต่างๆ เหล่านี้จะบอกเล่าสถานการณ์ที่ตัวละครต้องเจอได้อย่างดี
อย่างซีนที่ชายหาดใน Roma ที่คุณถ่ายลองเทกเหมือนกัน เราชอบซีนนั้นมากๆ ทั้งการแสดงที่ไร้ที่ติ แสง คลื่น ทะเล ทุกอย่างสมบูรณ์แบบไปหมด คุณช่วยเล่าถึงการถ่ายทำซีนนั้นให้ฟังหน่อยได้ไหม
มันเป็นซีนที่ท้าทายมากกว่าจะถ่ายออกมาได้ ในซีนนั้นเราต้องสร้างแท่นไม้ขึ้นมา แล้วเราก็เอาเครนใหญ่ยักษ์ตั้งไว้บนแท่นนั้น แต่คืนก่อนหน้าวันถ่ายดันมีพายุโซนร้อนซัดเข้าฝั่ง ทำให้โครงไม้ของแท่นไม่แข็งแรง แล้วทุกอย่างก็โคลงเคลง สั่นตลอดเวลา จนเครนล้มลงมา เราพยายามกันอยู่หลายที ทุกครั้งที่พยายามจะถ่ายกล้องก็ไม่อยู่กับที่ จนกระทั่งแสงใกล้หมด เราพยายามถ่ายอีกครั้ง โชคดีที่ทุกอย่างกำลังพอดี แสงสวย และกล้องก็ถ่ายได้ภาพตามที่ต้องการ จนเราได้ซีนที่สมบูรณ์แบบ
แล้วที่ได้เห็นในหนังว่า ยาลิตซา อปาริซิโอ ซึ่งรับบทเป็น คลีโอ ต้องพยายามออกไปช่วยเด็กๆ ที่กำลังจะจมน้ำ แต่จริงๆ แล้วตอนที่เราถ่าย นักแสดงเด็กๆ ว่ายน้ำกันเก่งมาก พวกเขาแค่ว่ายเล่นไปตามคลื่นเฉยๆ เลย
เรารู้มาว่าตลอดการถ่าย Roma ไม่มีทีมงานหรือแม้แต่นักแสดงสักคนที่รู้บทเลย คุณให้พวกเขาอ่านบทก่อนถ่ายทำในวันนั้นๆ และมีแค่คุณคนเดียวที่รู้บททั้งเรื่อง คุณค้นพบอะไรน่าสนใจจากวิธีทำงานแบบนี้บ้างไหม
ก็ใช่นะผมคิดว่า เพราะนอกจากวิธีการแบบนี้มันจะน่าสนใจมากๆ แล้ว เรายังถ่ายกันแบบเรียงตามลำดับเวลาจริงทั้งหมด ทำให้นักแสดงทุกคนได้เรียนรู้สถานการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ และวิธีนี้ทำให้ผมสำรวจโมเมนต์ของความเป็นธรรมชาติที่สมจริง มันค่อนข้างเป็นการทดลองอย่างหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งผมอาจจะเอาไปปรับใช้ในการทำงานของผมต่อไป
นอกจาก Roma จะเล่าเรื่องของผู้หญิงคนสำคัญ 2 คนในชีวิตคุณแล้ว มันยังทำให้เราเห็นเรื่องราวที่คุณพบเจอมาในวัยเด็กด้วย คุณคิดว่าวัยเด็กของคุณส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตคุณตอนนี้ไหม แล้วจริงหรือเปล่าที่เขาว่าคนเราต้องดิ้นรนก่อนที่จะยิ่งใหญ่ได้
ผมว่าทุกอย่างที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้เกิดจากสิ่งที่เคยเป็นในวัยเด็ก และมันไม่ใช่แค่ช่วงเวลาตอนเป็นเด็กเท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่คุณมีในช่วงวัยเด็ก ความสัมพันธ์และความรักในตอนนั้นที่คุณได้รับ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม อีกอย่างชีวิตของคนเรามันต้องดิ้นรนอยู่แล้ว ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ มันจะต้องมีเรื่องท้าทาย มีอะไรเข้ามาตลอด แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องมั่นคงในสิ่งที่ทำเสมอ
เราเคยอ่านเจอมาว่าคุณเทียบหนังเรื่องก่อนๆ ของตัวเองว่าเป็นเหมือน ‘ภรรยาเก่า’ พอจบกับมันแล้ว คุณก็ไม่กลับไปดูอีกเลย แล้วสำหรับ Roma ล่ะ
เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้กลับไปดูอีกเลยนะ แต่กับ Roma ผมต้องดูครั้งแรกที่ Venice Film Festival เพราะผมไม่มีทางเลือก แล้วผมก็ต้องนั่งดูมันกับคนดูคนอื่นๆ ในโรง คุณต้องนั่งอยู่ตรงนั้นดูหนังของตัวเองแบบไม่มีทางเลือก แต่ผมก็เซอร์ไพรส์และดีใจมากๆ เพราะผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับรีแอ็กชันแบบนั้นจากคนดูเลย แต่ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ดู Roma อีกเลย แล้วตอนนี้ก็ยังไม่มีแพลนจะกลับไปดูด้วย
คุณเคยกำกับหนังมาหลายแนว ทั้งหนังคอนเซปต์ใหญ่ๆ อย่าง Gravity หรือ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ซึ่งแตกต่างจากการกำกับหนังที่เล็กกว่า และส่วนตัวกว่าอย่าง Roma คุณมีวิธีการทำงานต่างกันอย่างไร
วิธีการของมันต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ แต่ในขณะเดียวกันมันก็คือการทำหนังเหมือนกัน มันต่างกันระหว่างหนังคอนเซปต์ใหญ่ๆ ที่คุณจะมีตาข่ายนิรภัยของการเล่าเรื่องอยู่ ทำให้คุณร่วงลงไปได้อย่างปลอดภัย แต่กับ Roma ที่เรื่องมันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ทำให้สมดุลของมันละเอียดอ่อนกว่า มันมีความไม่แน่นอนกว่า
ส่วนในเชิงการทำงาน ผมโชคดีมากที่ Roma ผมมีอำนาจในการควบคุมรายละเอียดต่างๆ ในหนังทั้งหมด แต่เวลาคุณทำหนังฮอลลีวูด แม้คุณจะขึ้นชื่อว่ามีสิทธิ์ควบคุมการสร้างสรรค์ แต่มันจะมีปัจจัยบางอย่างที่คุณควบคุมไม่ได้อยู่ดี และยิ่งถ้าไม่มีปัจจัยทางการเงินด้วย ก็จะยากสำหรับการทำหนังเหมือนกัน
Roma เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่มีโอกาสจะได้เข้าชิงออสการ์ คุณเองก็ได้รางวัลมากมายจากภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ถามจริงๆ ว่าเคยรู้สึกกดดันที่ต้องทำหนังเรื่องต่อๆ ไปบ้างไหม
ไม่นะ ผมไม่รู้สึกกดดันอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมไม่กดดันเพราะรางวัลเหล่านั้นแน่ๆ รางวัลเป็นอะไรที่ดีครับ มันมีความหมายมากมาย และมันก็ดีต่อหนังของคุณเวลาที่จะปล่อยหนังเข้าฉาย แต่มันไม่ได้มีความหมายอะไรในบริบทของกาลเวลาเลย เวลาต่างหากที่จะเป็นตัวบอกว่าหนังมันจะชนะและยืนยงจริงไหม เพราะฉะนั้นผมจะท้าทายตัวเองมากกว่า ผมจะพยายามเรียนรู้และใช้สิ่งที่รู้มาในการทำหนังเรื่องถัดๆ ไป
อัลฟอนโซ กัวรอน เพิ่งแวะมาเยี่ยมเยือนประเทศสิงคโปร์เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง Roma และเป็นประเทศเดียวในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เขาจะแวะในครั้งนี้ เขายังเข้าร่วม Q&A กับแฟนๆ เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับ Roma ซึ่งเขาได้ฝากบทเรียนสำหรับผู้กำกับมือใหม่ หรือคนที่ฝันอยากทำหนังเอาไว้ว่า
“อย่างแรกเลย… อย่าฟังสิ่งที่ผมพูด… อย่างเดียวที่ผมบอกได้คือ อย่าพยายามทำตาม อย่าพยายามก๊อบปี้ ผมพูดแบบนี้เพราะผมเคยทำผิดพลาดในชีวิตการทำงานมาเหมือนกัน ผมพยายามที่จะเป็นเหมือนผู้กำกับคนอื่นๆ หรือพยายามจะทำหนังที่ขายมากๆ แต่จริงๆ แล้วมันเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อจริงๆ เท่านั้น”
Roma เป็นภาพยนตร์ที่ อัลฟอนโซ กัวรอน ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มสตรีมมิงภาพยนตร์อย่าง Netflix และหลังจากเข้าฉาย Roma กลายเป็นภาพยนตร์ที่มาแรงและเป็นตัวเต็งออสการ์ประจำปี 2019
ด้วยปัจจัยพิเศษของ Roma ที่เป็นทั้งภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ (ภาษาสเปนและภาษา Mixtec), ภาพยนตร์ขาวดำตลอดเรื่อง, นักแสดงนำที่ไม่เคยแสดงหนังมาก่อน ที่สำคัญยังเป็นภาพยนตร์ที่มีสตรีมผ่านอินเทอร์เน็ต ถ้าหากว่า Roma ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์จริงๆ ก็จะถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ในวงการภาพยนตร์แน่นอน
ตัวอย่างภาพยนตร์
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า