×

AI ไม่ใช่แค่ ‘แย่งงานเด็กจบใหม่’ แต่กำลังล้มทั้งบันไดอาชีพที่เราเคยรู้จัก

08.09.2025
  • LOADING...
ai-career-ladder-disruption

เรื่องราวความสำเร็จของซีอีโอที่ไต่เต้าจากตำแหน่งระดับล่างสุดสู่จุดสูงสุดขององค์กร เช่น อันโตนิโอ เนรี CEO ของ Hewlett Packard Enterprise ที่เริ่มต้นจากการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ หรือ แมรี บาร์รา CEO ของ General Motors ที่เริ่มจากสายการผลิตตั้งแต่อายุ 18 ปี คือตำนานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทำงานทั่วโลกมาอย่างยาวนาน 

 

แต่ปัจจุบัน เรื่องราวความสำเร็จแบบ American Dream นี้กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่เพียงแต่จะเข้ามาแทนที่งานระดับเริ่มต้น (Entry-Level) แต่ยังอาจกำลังทลายโครงสร้าง ‘บันไดอาชีพ’ (Career Ladder) ที่เราคุ้นเคยให้หายไปตลอดกาล

 

การมาถึงของ AI เกิดขึ้นพร้อมกับการที่องค์กรต่างๆ มีโครงสร้างที่แบนราบมากขึ้น โดยเฉพาะการลดจำนวนตำแหน่งผู้จัดการระดับกลาง (Middle Management) ซึ่งเปรียบเสมือนขั้นบันไดตรงกลางที่หายไป 

 

ข้อมูลจาก Revelio Labs บอกว่า การประกาศรับสมัครงานระดับเริ่มต้นในสหรัฐฯ ลดลง 35% นับแต่เดือนมกราคม 2023 โดยมี AI เป็นปัจจัยสำคัญ ขณะที่คนอายุ 16-24 ปี กำลังหางานได้ยากมากขึ้นนับแต่วิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา

 

ขณะเดียวกัน ดาริโอ อโมเด CEO ของ Anthropic บริษัทผู้พัฒนา AI ชั้นนำ ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่คาดการณ์ว่า ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นอาจถูก AI แทนที่ได้ถึง 50% เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปถึงจุดที่สามารถทำงานได้ 8 ชั่วโมงโดยไม่ต้องหยุดพัก

 

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในจังหวะที่บัณฑิตจบใหม่กำลังดิ้นรนหางานอย่างยากลำบาก ก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่า บันไดสู่ความสำเร็จในองค์กรกำลังจะพังทลายลงหรือไม่ และเรื่องเล่าการไต่เต้าของผู้นำรุ่นปัจจุบันกำลังจะกลายเป็นเพียงตำนานในอดีต?

 

สัญญาณเตือนจากข้อมูลจริง ตำแหน่งงาน Entry-Level หดตัว 50%

 

ไม่ใช่แค่การคาดการณ์ แต่ข้อมูลจริงเริ่มสะท้อนภาพที่น่ากังวล บริษัทร่วมลงทุน SignalFire ได้ทำการศึกษาข้อมูลการจ้างงานระหว่างปี 2562-2567 ของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโต พบว่า การเริ่มต้นงานใหม่ของกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ทำงานหลังจบการศึกษาน้อยกว่า 1 ปี ลดลงถึง 50%

 

แอชเชอร์ แบนท็อก หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ SignalFire ยืนยันว่า “แม้การจ้างงานจะมีความผันผวนในแต่ละปี แต่ตัวเลข 50% คือภาพสะท้อนที่แม่นยำของการเปลี่ยนแปลงในการจ้างงานสำหรับกลุ่มประสบการณ์นี้” 

 

โดยการลดลงดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างสอดคล้องกันในทุกสายงานหลัก ตั้งแต่การขาย, การตลาด, วิศวกรรม ไปจนถึงการเงินและกฎหมาย

 

อย่างไรก็ตาม เฮเธอร์ โดเชย์ พาร์ทเนอร์ของ SignalFire มองว่านี่ไม่ใช่จุดจบของโอกาส แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ “การสูญเสียจุดเริ่มต้นที่ชัดเจน ไม่ได้แค่ทำให้โอกาสของเด็กจบใหม่น้อยลง แต่มันกำลังเปลี่ยนวิธีที่องค์กรจะพัฒนาคนเก่งจากภายใน”

 

เธอมองว่า “บันไดไม่ได้หัก แต่มันกำลังถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่ดูแบนราบกว่ามาก” ขั้นบันไดล่างสุดกำลังหายไป ซึ่งอาจมีศักยภาพในการ “ยกระดับทุกคนขึ้น” หมายความว่าตำแหน่ง Entry-Level ใหม่ อาจเป็นตำแหน่งที่ต้องการทักษะสูงขึ้นตั้งแต่เริ่มต้น

 

ความท้าทายคือ แรงกดดันได้ย้ายมาอยู่ที่บัณฑิตจบใหม่ที่ต้องแสวงหาทักษะเหล่านี้ด้วยตนเอง ก่อนที่จะได้งาน แต่โดเชย์ก็มองเห็นโอกาส “เมื่ออินเทอร์เน็ตและอีเมลกลายเป็นทักษะที่จำเป็นในองค์กร เด็กจบใหม่ก็อยู่ในจุดที่ดีที่สุดที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเพราะได้ใช้มันในโรงเรียน กรณีของ AI ก็เช่นเดียวกัน ด้วยการเข้าถึงที่ง่ายดาย กุญแจสำคัญคือการที่เด็กจบใหม่จะใช้ประโยชน์จากความสามารถของ AI เพื่อทำให้ตนเองกลายเป็นที่ต้องการในฐานะคนทำงานที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีและอยู่แนวหน้าของการเปลี่ยนแปลง”

 

มุมมองนักเศรษฐศาสตร์: ประวัติศาสตร์บอกเราว่า ‘ต้องใช้เวลา’

 

แอนเดอร์ส ฮุมลัม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก กลับมองว่าการคาดการณ์ผลกระทบระยะยาวของ AI ยังเป็นเรื่องที่ “คาดเดาได้ยาก” และชี้ว่า “ในช่วงสองปีครึ่งที่ผ่านมาที่ Generative AI แพร่หลายในเศรษฐกิจ เครื่องมือเหล่านี้ยังไม่ได้สร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญต่อการจ้างงานหรือรายได้ในอาชีพใดๆ เลย”

 

เขามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ว่า แม้แต่เทคโนโลยีที่ปฏิวัติโลกอย่างเครื่องจักรไอน้ำ, ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ ก็ยังต้องใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรและวัฒนธรรมจาก AI ก็อาจต้องใช้เวลาเช่นกัน 

 

“ผมเชื่อว่าการคาดการณ์ของอโมเด (CEO ของ Anthropic) ประเมินเวลาที่ต้องใช้ในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานและความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์ต่ำเกินไป”

 

อย่างไรก็ตาม ฮุมลัมชี้ให้เห็นถึงความท้าทายสำคัญคือ การทำให้แน่ใจว่าประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านี้ถูกแบ่งปันอย่างทั่วถึง โดยงานวิจัยของเขาพบช่องว่างทางเพศ (Gender Gap) ที่มีนัยสำคัญในการใช้งาน Generative AI 

 

ขณะที่บางส่วนยังถกเถียงเรื่องขั้นบันไดล่างสุด นักวิจัย AI บางกลุ่มกลับกังวลว่าปัญหาที่แท้จริงอาจไม่ใช่แค่ขั้นบันไดล่างสุด แต่อาจเป็นความมั่นคงของ ‘ทุกขั้นบันได’ ไปจนถึงขั้นสูงสุด

 

แม็กซ์ เทกมาร์ก ประธานสถาบัน Future of Life Institute เตือนว่า หากการคาดการณ์เรื่อง AI ที่พัฒนาไปสู่ระดับ Superintelligence (ปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ในทุกด้าน) เป็นจริง ปัญหาจะไม่ใช่แค่การที่ 50% ของงานระดับเริ่มต้นหายไป แต่จะกลายเป็น 100% ของทุกอาชีพ “เพราะโดยนิยามแล้ว Superintelligence สามารถทำงานทุกอย่างได้ดีกว่าเรา”

 

ในโลกนั้น แม้คุณจะเป็นพนักงานคนสุดท้ายที่ไต่เต้าขึ้นมาถึงตำแหน่งซีอีโอได้สำเร็จ วันแห่งความสำเร็จของคุณก็อาจมีจำกัด “ถ้าเรายังคงแข่งขันกันพัฒนา AI ที่ไร้การควบคุมโดยสิ้นเชิง สิ่งแรกที่เราจะเห็นคือการกระจุกตัวของความมั่งคั่งและอำนาจมหาศาลจากคนทำงานไปสู่ผู้ที่ควบคุม AI และจากนั้นก็จะไปสู่ตัวเครื่องจักรเองเมื่อเจ้าของเริ่มสูญเสียการควบคุมพวกมัน” เทกมาร์กกล่าวทิ้งท้าย

 

ภาพ: FG Trade / GettyImages

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising