×

AI จากกระแสสู่ฟองสบู่ แต่ตอนจบ ‘อาจไม่ซ้ำรอย’ วิกฤตดอทคอม

01.09.2025
  • LOADING...
ai-bubble-warning-signs

จากกระแส AI Boom ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนบางส่วนมีข้อกังขามาตลอดว่า กระแส AI ในปัจจุบันใกล้จะเปลี่ยนเป็นฟองสบู่ (AI Bubble) แล้วหรือยัง หลังจากที่หุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ในกลุ่ม ‘หุ้น 7 นางฟ้า’ ต่างมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมหาศาล จนกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

ข้อกังวลดังกล่าวถูกตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อหุ้นของ NVIDIA ร่วงลงราว 3% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2026 (พฤษภาคม – กรกฎาคม 2025) เพราะนักลงทุนไม่พอใจที่รายได้จาก Data Center ยังคงต่ำกว่าที่คาดการณ์เป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน แม้รายได้และผลกำไรยังคงเติบโตสูงกว่าระดับ 50% ก็ตาม

 

ทั้งนี้ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA พยายามตีตกข้อกังวลของตลาด โดยกล่าวว่า กระแสของ AI Boom นั้นยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ และเชื่อว่าจะมีการใช้จ่ายลงทุนไปกับโครงสร้างพื้นฐาน AI กว่าหลายล้านล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปีข้างหน้า

 

“การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่กำลังเริ่มต้นขึ้น และการแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป โดยจะได้เห็นการใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่ากว่า 3-4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030” Huang กล่าว

 

พื้นฐานยังดี งบลงทุนยังเพิ่ม

 

บริษัทเทคยักษ์ใหญ่หลายแห่งต่างประกาศเพิ่มรายจ่ายลงทุน (CAPEX) เพื่อรองรับปริมาณความต้องการ AI ที่อาจเติบโตในอนาคต สอดรับกับความเห็นของ Jensen Huang ดังนี้

 

  • Microsoft ตั้งเป้ารายจ่ายลงทุนทั้งปีไว้ที่ 120,000 ล้านดอลลาร์ 
  • Amazon ตั้งงบเพิ่มสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์
  • Alphabet ปรับเพิ่มประมาณการรายจ่ายลงทุนเป็น 85,000 ล้านดอลลาร์
  • Meta ปรับเพิ่มประมาณการรายจ่ายลงทุนสูงสุดเป็น 72,000 ล้านดอลลาร์

 

ด้าน Sam Altman ซีอีโอ OpenAI บริษัทผู้พัฒนาโมเดล ChatGPT ออกมายอมรับเช่นกันว่า ปัจจุบันหุ้น AI กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่แล้ว ถึงแม้อย่างนั้น OpenAI ก็พร้อมที่จะทุ่มเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ไปกับโครงสร้างพื้นฐาน AI 

 

Ray Wang ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ด้านเซมิคอนดักเตอร์ ห่วงโซ่อุปทาน และเทคโนโลยีเกิดใหม่จาก Futurum Group กล่าวต่อว่า เห็นด้วยกับคำกล่าวของ Altman แต่ก็ยังไม่เห็นเค้าลางของภาวะฟองสบู่ 

 

“เนื่องจากภาพรวมการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และ AI ยังมีพื้นฐานห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแรง รวมถึงยังมีแนวโน้มที่สนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง”

 

อย่างไรก็ตาม Wang แสดงความกังวลต่อการเก็งกำไร เนื่องจากพบว่า มีการทุ่มเงินลงทุนจำนวนมหาศาลไปกับบริษัทบางแห่งที่พื้นฐานอ่อนแอ ซึ่งอาจทำให้บริษัทนั้นมีมูลค่าเกินจริงได้ 

 

ธุรกิจตื่นตัวกับ AI แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มไม่ได้

 

แม้จะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างมหาศาล รวมถึงมีการนำ Gen AI มาปรับใช้ในภาคธุรกิจเป็นวงกว้าง แต่องค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงไม่สามารถสร้างผลกำไรจากการประยุกต์ใช้ AI ได้อย่างเป็นรูปธรรม

 

เมื่อมาดูรายงานของ McKinsey ที่เผยแพร่ในเดือนมิถุนายน พบว่า ภาคธุรกิจทั่วไปมีความตื่นตัวสูงมากในการปรับใช้ AI โดยองค์กรกว่า 78% พร้อมระบุว่า มีการใช้ Gen AI ในการทำงานอย่างน้อย 1 อย่าง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 55% ในปี 2024 

 

อย่างไรก็ตาม ราว 8 ใน 10 ขององค์กรที่มีการใช้ AI กลับระบุว่าไม่สามารถสร้างผลกำไรจากการใช้ AI ได้ ขณะที่งานศึกษาจาก MIT พบสัดส่วนความล้มเหลวที่สูงกว่า โดยระบุว่า ราว 95% ของการใช้ Gen AI ในโปรเจกต์ ไม่ได้ส่งผลต่อการเติบโตด้านรายได้เลย

 

ทั้งนี้ งานวิจัยทั้งสองระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจไม่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการปรับใช้ AI ได้ มีสาเหตุจากระบบการทำงานของแต่ละองค์กร ที่ยังไม่สามารถนำ AI เข้าไปใช้ในขั้นตอนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

กระแส AI อาจไม่ซ้ำรอยฟองสบู่ดอทคอม

 

ขณะเดียวกันความน่าจะเป็นของการเกิดวิกฤตฟองสบู่แตกคล้ายกับวิกฤตดอทคอมในยุค 1990s อาจไม่เกิดขึ้น เมื่อโครงสร้างตลาดในปัจจุบันถูกควบคุมด้วยบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยเงินทุนมหาศาล เพียงพอที่จะกีดกันหรือเข้าซื้อกิจการคู่แข่งได้ 

 

ต่างจากยุคดอทคอม ที่สตาร์ทอัปรายเล็กสามารถเติบโตขึ้นมาแข่งกับรายใหญ่ได้ โดยอาศัยความได้เปรียบจากการเป็นผู้เริ่มต้น (First Mover) ในตลาด ความคาดหวังกับบริษัทรายเล็กๆ เกินจริง จึงเกิดขึ้นได้ง่าย และมีโอกาสเกิดฟองสบู่มากกว่า

 

อย่างไรก็ตาม อนาคตยังเป็นสิ่งไม่แน่นอน ซึ่งประวัติศาสตร์เคยแสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่บริษัทที่เคยถูกมองว่า ‘ขาดไม่ได้’ ยังสูญเสียมูลค่าไปอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน

 

ตัวอย่างเช่น Cisco ผู้ให้บริการเราเตอร์ (Router) ที่เคยเฟื่องฟูมากในยุคดอทคอม ซึ่งเปรียบเสมือน Nvidia ในปัจจุบัน ที่เป็นหัวใจหลักของธุรกิจ Data Center ก็ยังมีมูลค่าร่วงกว่า 80% จากวิกฤตในครั้งนั้น

 

ดังนั้น ความท้าทายของนักลงทุนจึงอยู่ที่การแยกแยะ ระหว่าง ‘การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง’ กับ ‘การประเมินมูลค่าสูงเกินจริง’ 

 

อ้างอิง : 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising