ตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอนปะทุขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ปรับฐานลดลงต่อเนื่อง กระแสเงินทุนเกิดความผันผวนทั่วโลก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย ที่ดัชนีปรับตัวลดลงราว 80 จุดในช่วงวันที่ 26-30 พฤศจิกายน ก่อนจะรีบาวด์ช่วงสั้นราว 20 จุดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม
อย่างไรก็ตาม วานนี้ (1 ธันวาคม) สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธ์ุโอไมครอน ซึ่งกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหนัก อาทิ S&P 500 เคยขึ้นไปถึง 1.9% ในระหว่างวัน ก่อนที่จะปิด -1.3% พร้อมกับกดดัน VIX Index (ดัชนีความกลัว) ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 10 เดือน แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้น ณ ปัจจุบัน มีความผันผวนสูงกว่าปกติมาก
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างที่จะเปราะบางจากประเด็นโควิด สะท้อนได้จาก Fund Flow ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จนล่าสุดวันนี้ (2 ธันวาคม) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวมกันกว่า 17,203 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศมีการขายสุทธิประมาณ 9,283 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แรงขายของสถาบันในประเทศเริ่มชะลอลงในวันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นมา
ทั้งนี้ เชื่อว่าในเดือนธันวาคม ตลาดหุ้นไทยจะมี Fund Flow จากกองทุนประหยัดภาษี ที่ปกติจะมียอดซื้อเข้ามาเกิน 25% ของยอดซื้อทั้งปี และหากดูจากช่วงท้ายปี 2563 แล้วมียอดซื้อกองทุน SSF และ RMF ประเภทหุ้นไทยราว 8.8 พันล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 28% ของแรงซื้อทั้งปี 2563)
สำหรับแนวโน้มการลงทุนนักลงทุนต่างชาตินั้นแม้ยังขายสุทธิ แต่หากพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติอยู่ในระดับต่ำสุดตลอดการณ์ที่ระดับ 17.94% และหากรวมการถือครองผ่าน NVDR จะอยู่ที่ 23.20% ซึ่งห่างกับสมัยก่อนที่ถือครองเกิน 30% อยู่มาก
กล่าวโดยสรุป ตลาดหุ้นไทยยังมีความคาดหวังเห็นเม็ดเงินจากกองทุนประหยัดภาษีมาช่วยพยุงหุ้นช่วงท้ายปี หากความกังวลโควิดสายพันธุ์ใหม่กินระยะเวลาไม่นาน บวกกับ Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยในระยะถัดไป จากสัดส่วนการถือครองที่อยู่ในระดับต่ำ
คำแนะนำการลงทุนในระยะสั้นยังอยู่ในช่วงติดตามพัฒนาการโควิดสายพันธุ์โอไมครอนอย่างใกล้ชิด จึงแนะนำหลี่กเลี่ยงสำหรับการเทรดดิ้งช่วงสั้น และสำรองเงินสดไว้บางส่วน เพื่อหลบความผันผวนของตลาด ในมุมกลับถ้าดัชนีที่ปรับฐานลงมาลึก ถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมเพื่อหวังผลในระยะกลางถึงยาว
โดยแนะถือเงินสดในมือ 25-35% รอสัญญาณที่ดีขึ้นแล้วค่อยทยอยเข้าสะสม ส่วนพอร์ตที่เหลือแนะนำสร้างสมดุลด้วยหุ้นที่มีเกราะป้องกันโควิด อย่าง STGT, TU และ INSET เป็น Top Pick