สิ้นสุดการรอคอยเสียที เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ (29 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ตามเวลาประเทศอังกฤษ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประกาศคว้าตัว อารอน วาน บิสซากา แบ็กขวาวัย 21 ปีจากสโมสรคริสตัล พาเลซ เข้ามาร่วมทีมอย่างเป็นทางการ เซ็นสัญญา 5 ปี พร้อมออปชันขยายสัญญาเพิ่มอีก 1 ปี
บิสซากากล่าวเปิดใจหลังย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ว่า “มันคือความรู้สึกที่แทบไม่น่าเชื่อ เป็นเกียรติอย่างมากที่ผมได้เรียกตัวเองว่าเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีผู้เล่นไม่กี่คนหรอกที่จะได้รับสิทธิพิเศษเรียกตัวเองแบบนั้น
“ผมแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม ผมจะพักหลังจบการแข่งขันฟุตบอลยูโร U21 เป็นช่วงเวลาสั้นๆ และรอคอยที่จะได้เริ่มฝึกซ้อมกับผู้จัดการและเพื่อนร่วมทีมใหม่ของผมในช่วงทัวร์พรีซีซัน
ด้าน โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ กล่าวถึงลูกทีมคนใหม่ของเขาว่าเป็นหนึ่งในกองหลังดาวรุ่งที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก เพียบพร้อมไปด้วยความตั้งใจในการพัฒนาตัวเอง พรสวรรค์ และสภาพจิตใจที่เหมาะสมจะเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
“เขาคือผู้เล่นที่เรามองหาเพื่อเติมเต็มทีม และช่วยให้เราพัฒนาก้าวไปข้างหน้า อารอนเป็นผู้เล่นอายุน้อย เต็มไปด้วยแรงกระหายและความทะเยอทะยานที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เล่นในช่วงวัยนี้ ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เราคว้าตัวเขามาร่วมทีมได้ และมองไปยังโอกาสที่จะได้ต่อยอดขัดเกลาพัฒนาฝีเท้าของเขาให้ดีขึ้นต่อไป”
แม้จะไม่มีการประกาศรายละเอียดค่าตัวในการย้ายทีมของบิสซากาอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อกันว่าดีลระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และคริสตัล พาเลซ ในครั้งนี้น่าจะมีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านปอนด์ (จ่ายสด 45 ล้านปอนด์ + โบนัส 5 ล้านปอนด์) ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงพอจะทำให้บิสซากากลายเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของสโมสร รองจาก พอล ป็อกบา (89.3 ล้านปอนด์), โรเมลู ลูกากู (75 ล้านปอนด์) และอังเคล ดิ มาเรีย (59.7 ล้านปอนด์) ตามลำดับ
นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้ชื่อว่าเป็นนักเตะอังกฤษที่มีค่าตัวการย้ายทีมแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเกาะอังกฤษ เป็นรองเพียงแค่ ไคล์ วอล์กเกอร์ แบ็กขวารุ่นพี่วัย 29 ปี ที่ย้ายจากสเปอร์สมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2017 ด้วยค่าตัว 53 ล้านปอนด์
ด้านสื่อหลายสำนักเช่ือว่าสาเหตุที่ทำให้การประกาศคว้าตัวบิสซากามาร่วมทีมล่าช้าเป็นผลจากการที่คริสตัล พาเลซ พยายามบีบให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใส่เงื่อนไขแบ่งเงินจากค่าตัวในการย้ายทีมครั้งต่อไป 10% ให้กับพวกเขา และเชื่อกันว่าข้อสรุปดังกล่าวลงเอยด้วยการที่ปีศาจแดงจะแบ่งเงิน 10% ในกำไรจากค่าตัวการย้ายทีมครั้งหน้าให้กับพาเลซนั่นเอง (หมายความว่าถ้าการย้ายทีมครั้งต่อไปของบิสซากามีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านปอนด์ พาเลซจึงจะได้ส่วนแบ่งจากกำไร 10% ดังกล่าว)
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
