ปฏิเสธไม่ออกเลยครับว่าผลงานในระยะหลังของแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างลิเวอร์พูลเข้าขั้นน่าเป็นห่วงอยู่มาก
จากที่นำจ่าฝูงในวันคริสต์มาสเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน (ซึ่งความเชื่อคือใครนำจ่าฝูงพร้อมเพลง Jingle Bells ก็มีโอกาสคว้าแชมป์สูง) แต่ผลงานในช่วงโปรแกรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของพวกเขาย่ำแย่อย่างเหลือเชื่อ ทำได้เพียงแค่เสมอ 2 นัดต่อเวสต์บรอมวิช อัลเบียนและนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ก่อนจะพ่ายต่อเซาแธมป์ตันแบบหมดสภาพ ซึ่งเป็นการแพ้ครั้งที่ 2 ของฤดูกาลนี้
ปัญหาของลิเวอร์พูลแม้จะถูกมองว่าอยู่กับเกมรุกที่ 3 ประสานแดนหน้าอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ โรแบร์โต เฟียร์มิโน จะฟอร์มตกพร้อมๆ กัน แต่หากมองรายละเอียดให้ลึกลงมาอีกขั้นแล้วจะพบว่าจริงๆ แล้วปัญหาไม่ได้เริ่มต้นจากจุดนั้น
แนวรุกฝืดเคืองนั้นเป็นเพียงแค่ ‘ปลายเหตุ’ เพราะ ‘ต้นเหตุ’ จริงๆ เกิดจากการที่ลิเวอร์พูลเสียกองหลังตัวหลักไปพร้อมกันถึง 3 คน ซึ่ง 2 ในนั้นอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ โจ โกเมซ เป็นการบาดเจ็บยาวที่แทบจะลืมฤดูกาลนี้ไปได้เลย
ปกติแล้วลิเวอร์พูลจะมีเกมรับที่เหนียวแน่น ซึ่งเกิดจากการมีพี่ใหญ่อย่างฟาน ไดจ์คคอยช่วยกำกับดูแลเกมรับให้เป็นระเบียบ นอกจากนี้ยังสามารถที่จะเปิดเกมจากแดนหลังได้ด้วยไม่ว่าจะออกบอลสั้นหรือการเปิดบอลทแยงมุมยาวให้แบ็กเติมขึ้นไปรับบอล อันเป็นจุดเด่นในสไตล์การเล่นของลิเวอร์พูลที่ใช้การจู่โจมทางริมเส้นของฟูลแบ็กสองข้างเป็นสำคัญ
เมื่อไม่มีดาวเตะชาวดัตช์ รวมถึงไม่มีโกเมซ ซึ่งเป็นกองหลังที่มีความรวดเร็วและมีทักษะในการพาบอลเลี้ยงกินแดนดึงตัวประกบได้ ทำให้ลิเวอร์พูลสูญเสียการเปิดเกมจากแดนหลังไป ซึ่งกลายเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อทีมมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเกมล่าสุดกับเซาแธมป์ตัน เดอะ ค็อปทั่วโลกได้เห็น เจอร์เกน คล็อปป์ ส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมลงไปยืนเป็นคู่กองหลังกับฟาบินโญ ซึ่งแม้จะพอเอาตัวรอดได้แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้แดนกลางของลิเวอร์พูลขาด 2 ผู้เล่นที่ดีที่สุดในตำแหน่งนี้ไปอีก
ผลกระทบจึงชิ่งกันเป็นทอดๆ และสุดท้ายคือการที่ทีมมีปัญหาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเจอกับทีมรองบ่อนที่ลงไปปักหลักตั้งรับเต็มพื้นที่
คำถามที่น่าสนใจคือ เมื่อรู้อยู่แล้วว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน แล้วจะมีการแก้ไขปัญหาที่จุดนั้นเลยไหม? ในเมื่อลิเวอร์พูลมีโอกาสแล้วในช่วงตลาดการซื้อขายฤดูหนาว ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา
ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาแชมป์อังกฤษตกเป็นข่าวพัวพันกับนักเตะในแนวรับค่อนข้างเยอะอยู่ครับ มีหลายเกรด หลายระดับ เพียงแต่สำหรับแฟนๆ หงส์แดงแล้ว ณ เข็มนาฬิกาเดินไป หลายคนคงไม่อยากคิดอะไรเยอะแยะ
“ใครก็ได้เอามาก่อน” ต้องมีคนคิดแบบนี้แน่ๆ
การคิดแบบนี้ก็ไม่ผิดครับ เพราะปัญหานั้นชัดเจน และปัญหานั้นกำลังส่งผลกระทบทำให้ความหวังในการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกสั่นคลอน (ไม่ต้องพูดถึงรายการใหญ่กว่าอย่างแชมเปียนส์ลีก ที่ต่อจากนี้จะมีแต่ของแข็งแล้ว) ดังนั้นหากเจอใครที่พอจะดึงเข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ก็เอามาเถอะ
อย่างไรก็ดีดูเหมือนคล็อปป์และทีมงานจะไม่ได้คิดแบบนั้นครับ
คำอธิบายของเรื่องนี้มีอยู่ว่า…
คู่นี้หายไปหงส์แดงเหมือนขาดใจ…
เกรด AAA เท่านั้นที่ต้องการ
ดูจากหัวเรื่องย่อยแล้วหลายคนอาจจะพาลคิดไปถึงเสื้อฟุตบอลทำเหมือนเกรด AAA อันเป็นสินค้าลือลั่นที่คนบ้าบอลจากทั่วโลกต้องทึ่ง ที่เสื้อฟุตบอลซึ่งยังไม่ได้เปิดตัวที่ไหนในโลกมีขายในบ้านเราก่อนเสมอ (เสื้อชุดที่ 4 ของลิเวอร์พูลที่กำลังจะเปิดตัวก็มีขายแล้ว…)
แต่ไม่ใช่ครับ AAA ที่ว่านี้มีความหมายถึงเกณฑ์ 3 ข้อที่ใช้สำหรับการพิจารณาหานักฟุตบอลใหม่เข้ามาสู่ทีม
ก่อนจะลงรายละเอียดตรงนี้ ตามข้อมูลจาก The Athletic แล้ว ลิเวอร์พูลเองไม่ได้นิ่งนอนใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมรับ ซึ่งความจริงมีปัญหาตั้งแต่การยอมเปิดทางให้ เดยัน ลอฟเรน ย้ายไปเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อช่วงปิดฤดูกาลแล้ว เพราะทำให้เซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักเหลือเพียงแค่ ฟาน ไดจ์ค, โกเมซ และ โจเอล มาทิป ซึ่งร่างกายเปราะบางไม่สามารถลงเล่นต่อเนื่องได้
เพียงแต่ด้วยความจำเป็นทำให้คล็อปป์และไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ ในฐานะหัวเรือใหญ่ฝั่งนอกสนามตัดสินใจที่จะใช้เงินไปกับการซื้อ คอสตาส ซิมิคาส แบ็กซ้าย, ติอาโก อัลกันตารา มิดฟิลด์หน่วยประมวลผลชิป M1 และ ดีโอโก โชตา (ซึ่งทั้งสามต่างประสบเหตุต้องพักยาวทุกคน)
การเสียฟาน ไดจ์คและโกเมซไปต่อเนื่องกันในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน (ตุลาคม-พฤศจิกายน) ทำให้ทีมงานฝั่งจัดหาผู้เล่นที่นำโดย แบร์รี ฮันเตอร์ และ เดฟ ฟาลโลว์ส รวมถึงฝ่ายค้นคว้าอย่าง เอียน เกรแฮม ได้ทำการเฟ้นหาและคัดกรองผู้เล่นที่มีความเหมาะสม และได้ลิสต์รายชื่อนักเตะที่น่าสนใจจากทั่วยุโรปมาพอสมควร
เพียงแต่ไม่ว่าใครก็ตามจะต้องผ่านเกณฑ์ 3 ข้อนี้เท่านั้นครับ
A แรกคือ Ability หรือความสามารถ
A ต่อมาคือ Availability หรือโอกาสในการย้ายทีมว่ามีไหม
และ A สุดท้ายคือ Affordability หรือความสามารถในการจ่ายเงินของสโมสรว่าสู้ราคาไหวไหม
สิ่งที่จะคุยกันลงไปในรายละเอียดเพิ่มเติมเป็นเรื่องทางร่างกาย, เทคนิค, บุคลิกและตัวตน ว่าเป็นอย่างไร ดีไหม จะเข้ากับทีมได้ไหม เข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้หรือเปล่า เป็นต้นครับ
ตามการเปิดเผยของ The Athletic ลิเวอร์พูลเคยติดต่อ โอซาน คาบัค กองหลังทีมชาติตุรกีของชาลเก 04 ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน แต่เป็นการติดต่อเบื้องต้น และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ได้มีการสานต่อสำหรับกองหลังที่ชาลเกตั้งค่าตัวเอาไว้ที่ 25 ล้านยูโร
เรื่องนี้เมื่อรวมกับสิ่งที่คล็อปป์พูดเอาไว้ล่าสุดเกี่ยวกับการเสริมแนวรับว่า “ผมคงไม่ได้จะพูดชัดเจนว่าเราจะไม่ดึงใครเข้ามา เพียงแต่ด้วยสถานการณ์ในเวลานี้มันทำให้เป็นไปไม่ได้” ก็จะเห็นได้ว่านายใหญ่ชาวเยอรมันเองก็ไม่ได้จะดื้อรั้นจนเกินเหตุ
ดาโยต์ อูปาเมกาโน เป็นหนึ่งในกองหลังที่ลิเวอร์พูลสนใจ แต่การย้ายทีมเป็นไปไม่ได้ในเวลานี้
เพราะโลกยังไม่สงบสุข
แต่เพราะสถานการณ์ของโลกเวลานี้ไม่ปกติ ทำให้ขนาดเสียกองหลังตัวหลักไป 3 คนแล้วลิเวอร์พูลก็ไม่สามารถที่จะทุ่มเงินเพื่อซื้อนักเตะมาทดแทนได้แบบสะดวก
โควิด-19 ทำให้ลิเวอร์พูลสูญเสียรายได้ที่ควรจะได้ไปมากกว่า 100 ล้านปอนด์ และตัวเลขนั้นจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีกตราบที่แฟนฟุตบอลยังไม่สามารถกลับสนามได้
สิ่งที่คล็อปป์ย้ำชัดเจน และเป็นสิ่งที่เขาทำตลอดคือ เขาเป็นคนไม่เชื่อในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เขาเชื่อในการแก้ไขปัญหาระยะยาว
จริงอยู่ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยดึง สตีเวน คอลเกอร์ กองหลังจากทีมควีนสปาร์ค เรนเจอร์สมาใช้งานในปี 2016 เพื่อแก้ไขปัญหาเกมรับของทีมที่เข้าขั้นวิกฤตเหมือนตอนนี้ เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป ลิเวอร์พูลมาไกลกว่าจุดนั้นมากแล้ว และทีมก็ยังมีออปชันอยู่บ้างกับกองหลังดาวรุ่งอย่าง รีส วิลเลียมส์ หรือตัวอะไหล่อย่าง แนท ฟิลลิปส์
ถ้าจะซื้อก็ต้องเป็นคนที่เหมาะสมจะอยู่กับทีมยาวๆ
มี 2 ชื่อนะครับที่ถูกเอ่ยถึงคือ ดาโยต์ อูปาเมกาโน จอมแกร่งแห่งแอร์เบ ไลป์ซิก และเบน ไวท์ กองหลังไบรท์ตันที่คล็อปป์ชื่นชอบอย่างมาก
ทั้งสองสอบผ่านข้อ Ability สบายๆ ครับ เพียงแต่ใน Availability นั้นไม่น่าผ่าน และสำคัญคือค่าตัวที่มหาศาลทำให้สโมสรสอบตก Affordability แน่ๆ
ส่วน สเวน บอทแมน กองหลังร่างยักษ์จากลีลล์ที่มีข่าวครึกโครมช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเพียงการปล่อยข่าวเพียงเพื่อหวังจะปั่นค่าตัวเท่านั้น
คนที่ผมเชื่อว่าเป็นเป้าจริงที่สอบผ่านครบทุก A คือ ดาวิด อลาบา กองหลังชั้นยอดของบาเยิร์น มิวนิก ที่จะหมดสัญญาหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้ เพียงแต่มันจะเป็นการเจรจาสำหรับฤดูกาลหน้าไม่ใช่ฤดูกาลนี้ครับ และปัญหาอีกอย่างคือเรอัล มาดริดเป็นอีกทีมที่อยากได้ และนักเตะเองก็อยากสวมชุดขาวเสียด้วย
และกว่าจะถึงตอนนั้นคนที่เจ็บไปนานอย่างฟาน ไดจ์คและโกเมซก็ควรจะกลับมาแล้ว ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาตอนนี้แต่อย่างใด
ดังนั้นจึงพอเข้าใจได้ครับที่คล็อปป์จะพูดเป็นนัยว่าคงไม่มีกองหลังใหม่เข้ามา
มันอาจจะเป็นการดูขี้ดื้อ ทะนง มั่นใจ หรืออะไรก็ตาม แต่ในมุมของคนทำงานอย่างคล็อปป์ เขาเลือกเสถียรภาพระยะยาวของสโมสรมากกว่าการแก้ปัญหาระยะสั้นที่เขาไม่เชื่อมั่นและศรัทธาในแนวทาง
ต่อให้สุดท้ายจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไร แต่เชื่อได้ครับว่าระหว่างนี้ไปจนจบฤดูกาลเราน่าจะได้เห็นการแก้ปัญหาที่น่าทึ่งจากกุนซือชาวเยอรมันคนนี้
ถือเป็นความท้าทายอีกรูปแบบให้เดอะ ค็อปได้ติดตามในฤดูกาลนี้ครับ 🙂
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า