*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง A Half of It
ความรัก ความเจ็บปวด ความสัมพันธ์ซับซ้อน การค้นหาและเติมเต็มตัวตนที่หล่นหาย ฟูมฟักช่วงเวลาแห่งวัยเยาว์ให้เบ่งบาน
คือส่วนผสมของวัตถุดิบชั้นยอดที่มักถูกนำมาใช้ปรุงแต่งเพื่อสร้างสรรค์ภาพยนตร์แนว Coming of Age อย่างได้ผลมานานหลายทศวรรษ เช่นเดียวกันกับ A Half of It ผลงานเรื่องใหม่จาก Netflix ที่อลิซ วู ผู้กำกับหญิงเจ้าของผลงานอย่าง Saving Face (2004) จะพาทุกคนดำดิ่งสำรวจลึกลงไปในหัวใจของ 3 ตัวละครวัยรุ่นที่มีพื้นฐานแตกต่าง แต่มีจุดร่วมคือหัวใจอันแสนเปราะบาง ที่อาจแตกสลายได้ทุกเวลา
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น ณ สควอเฮมิช เมืองเล็กๆ เงียบสงบที่ เอลลี ชู (เลอาห์ ลิวอิส) เด็กเนิร์ดสาวชาวจีนที่ไม่เคยมีใครในโรงเรียนเหลียวมอง นอกจากเวลาเขียนเรียงความให้เพื่อนในห้องเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว ถึงแม้ไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่มากนัก แต่เธอก็ยังคงดำเนินชีวิตในเมืองอันแสนน่าเบื่อแห่งนี้ต่อไป
จนกระทั่งวันหนึ่ง พอล มันสกี้ (แดเนียล ดีเมอร์) นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลขี้อายที่กำลังตกหลุมรัก แอสเทอร์ ฟลอเรส (อเล็กซิส เลอเมียส์) สาวสุดฮอตประจำโรงเรียน และตัดสินใจจ้างวานให้เอลลีช่วยเขียนจดหมายรักแทนเขา กลายเป็นจุดเริ่มต้นของรักสามเส้าที่แม้จะเจ็บปวด แต่ก็ทำให้ทุกชีวิตได้เติบโต
เอลลี ชู ผู้โชคร้ายจากการเหยียดเชื้อชาติ ที่ใช้ความฉลาดเป็นอาวุธในการเอาตัวรอด
ความแตกต่าง (ที่ไม่ใช่ความผิด) ในฐานะ ‘เด็กสาวชาวจีนในสังคมอเมริกา’ ทำให้เอลลีกลายเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ในการกลั่นแกล้งด้วยวาจา สายตาหยามเหยียด กีดกันให้กลายเป็นคนชายขอบของสังคม ซ้ำร้ายแม้แต่นามสกุล ‘ชู’ ที่เธอควรภูมิใจ ก็ถูกกลุ่มเด็กชายไร้หัวใจ นำไปล้อเลียนกับเสียงรถไฟ ตามอาชีพของคุณพ่อที่เป็นนายสถานี
เอ็ดวิน ชู (คอลลิน โชว์) ผู้เป็นพ่อคืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ขีดเส้นให้อยู่นอกวงของสังคม ทั้งที่เป็นคนเก่ง จบการศึกษาระดับปริญญาเอก เดินทางออกจากบ้านเกิดเพื่อตามความฝันเป็นวิศกรที่ประสบความสำเร็จ เพียงเพราะหน้าตา สีผิว และ ‘สำเนียง’ ที่แตกต่าง ทำให้ความสามารถของเขาถูกบดบังไว้ด้านหลัง ทำได้เพียงเป็นนายสถานีรถไฟที่ไม่มีโอกาสเติบโต พร้อมกับความเจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อสิ่งที่เขาถูกกระทำ ถูกส่งต่อไปยังลูกสาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โชคดีที่เอลลี ชู เข้มแข็งกว่านั้น ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะแตกต่าง และต้องอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมห้องที่โดดเด่นและมีเสน่ห์ ทุกคนดูเหมือนมีความสามารถรอบด้าน แต่กลับต้องมาใช้บริการ ‘ทักษะการเขียนเรียงความ’ จากเด็กสาวที่พวกเขาหยามเหยียดอย่างเธอ
สุดท้ายกลายเป็นว่า นิสัยรักการอ่าน ทักษะในการเขียน และความฉลาดที่ทำให้เอลลี ชู ดูประหลาด ได้แปรรูปเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอด สร้างรายได้เพื่อช่วยเหลือครอบครัว และ ‘อาวุธ’ ในการตอบโต้อย่างสันติไปยังหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่ทำได้เพียงใช้ลักษณะภายนอก ตัดสินและกีดกันพ่อและตัวเธอให้อยู่วงนอกของสังคม
แอสเทอร์ เด็กสาวสุดฮอตที่ถูกกระแสสังคมกลบฝังตัวตนที่แท้จริง
แอสเทอร์คือตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นขั้วตรงข้ามกับเอลลีอย่างเห็นได้ชัด เธอทั้งสวย มีเสน่ห์ จนเพื่อนๆ ทั้งยกย่องให้เป็นสาวสุดฮอตประจำโรงเรียน แสงสปอตไลต์ที่สาดส่อง มาพร้อมความคาดหวังที่ค่อยๆ บดบังตัวตนที่แท้จริงของเธอไม่ให้แสดงออกมา
เธอต้องสวย ต้องน่ารัก ต้องมีเสน่ห์ ต้องควงคู่แต่กับชายหนุ่มสุดเพอร์เฟกต์ที่สังคมมองว่าคู่ควร ซึ่งสุดท้ายผู้ชายที่แสนโดดเด่นเหล่านั้น ก็ยังต้องมาใช้บริการเขียนเรียงความของเอลลีอยู่ดี!
จนสุดท้ายแอสเทอร์กลายเป็นเพียง ‘เด็กสาว’ ที่ต้องคำสาปแห่งความ ‘สวยงาม’ ที่มากเกินไป จนทำให้ผู้คนชื่นชมเธอแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่เคยมีใครคิดที่จะทำความรู้จักกับตัวตนข้างในของเธอจริงๆ เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็ค่อยๆ หลงลืมตัวตนที่ชื่นชอบการวาดรูปและอ่านหนังสือไปทีละน้อย ในเมื่อไม่เคยมีใครเอ่ยถาม เธอก็ไม่เหลือเหตุผลที่จะต้องทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป
รวมถึงครอบครัวผู้เคร่งศาสนา ที่คอยขีดเส้นทางโดยไม่คิดจะถามว่าแอสเทอร์อยากทำอะไร ก็ยิ่งตอกย้ำให้เธอต้องจำยอมทอดทิ้งความฝันของตัวเอง และก้าวเดินไปบนเส้นทางที่คนอื่นขีดเขียนให้ และทำได้เพียงเฝ้าภาวนาต่อพระเจ้าให้เธอหลุดพ้นจากเส้นทางเหล่านี้เสียที
กลายเป็นว่าชีวิตของคนธรรมดาที่ดูไม่หวือหวาของเอลลี นั้นดูจะมีความสุขมากกว่าแอสเทอร์ที่มีผู้คนรุมล้อมจนต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับคำพูดประโยคหนึ่งที่ว่า “ถูกเกลียดในความจริงแท้ของตัวตน ดีกว่าได้รับคำชมจากตัวตนปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมา”
แอสเทอร์ทำได้เพียงเฝ้ารอใครสักคน ที่สนใจและช่วยเรียกตัวตนที่หล่นหายไปกลับคืนมา
พอล มันสกี้ หนุ่มจืดที่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อความรัก
ความรักที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองของนักกีฬาขี้อายอย่างพอล มันสกี้ ได้กลายเป็น ‘สะพาน’ ที่ทำให้เอลลีและแอสเทอร์ ที่เหมือนอยู่บนเส้นขนานได้ขยับเข้ามาใกล้กันโดยไม่ตั้งใจ
ตั้งแต่การจ้างวานให้เอลลีเขียนจดหมายรักให้แอสเทอร์ ยอมฟังคำแนะนำของเด็กเนิร์ดที่ถูกคนทั้งโรงเรียนเหยียดอย่างเคร่งครัด พยายามแก้ไขนิสัยพูดไม่เก่งให้ดีขึ้น อ่านหนังสือยากๆ เพื่อทำความเข้าใจนางฟ้าที่เขาหลงรัก ฯลฯ
และตามธรรมเนียมของภาพยนตร์ Coming of Age หลายเรื่อง ก็เป็นหนุ่มจืดที่พยายามทำทุกอย่างคนนี้ ที่ต้อง ‘เสียสละ’ กลายเป็นคนเจ็บปวด เมื่อสุดท้ายกลายเป็นว่าเขาดันไปหลงรักเอลลี ส่วนเอลลีกลับมีความรู้สึกพิเศษให้กับแอสเทอร์ หลังได้รู้จักว่าตัวตนที่แท้จริงของสาวฮอตคนนี้เป็นอย่างไร
ถึงแม้ต้องเจ็บปวด และเป็นจุดเริ่มต้นของปมความสัมพันธ์ซับซ้อนที่ไม่อาจคลี่คลาย แต่สุดท้ายผลจากความพยายามในครั้งนี้ ก็ทำให้ทั้งตัวเขา เอลลี และแอสเทอร์ ได้เติบโต ค้นพบความต้องการ ความฝัน และตัวตนที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
ความรักอาจไม่สมหวัง แต่ตัวตนไม่มีวันพังทลาย
แม้ว่าในตอนจบ A Half of It จะไม่ได้บอกบทสรุปชัดเจน ว่าท้ายที่สุดชีวิต ความรัก และความสัมพันธ์ของพวกเขากลายเป็นแบบไหน เพราะสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือพวกเขาเติบโตขึ้นมากเท่าไร ระหว่างทางของความสัมพันธ์ครั้งนี้
พอลเปลี่ยนแปลงจากหนุ่มจืดที่พูดไม่เก่ง ไม่กล้าส่งข้อความไปหาคนที่แอบชอบ ก็กลายเป็นคนที่กล้าแสดงความรู้สึก และพยายามพัฒนาให้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม แม้ความรักครั้งนี้ไม่สมหวัง แต่เราเชื่อว่าเขาจะทำได้ดีกว่านี้ เมื่อมีโอกาสอีกนับครั้งไม่ถ้วนในอนาคต
แอสเทอร์ เปลี่ยนแปลงจากเด็กสาวที่ถูกกระแสสังคมกลบฝังตัวตนในวัยเด็ก ก็กล้าที่จะหยิบแปรงทาสีและพู่กันขึ้นมาวาดรูป และไล่ตามความฝันของตัวเองอีกครั้ง เมื่อได้รับจดหมายของเอลลี
เอลลี เปลี่ยนจากเด็กเนิร์ดที่ถูกเหยียดหยาม ไม่เคยคิดสนใจเรื่องความรัก ก็กล้าที่จะมีความรักเป็นของตัวเอง และที่สำคัญคือเป็นความรักที่ไม่จำเป็นต้องสนใจกฎเกณฑ์ที่มีใครมาขีดเส้นคำว่า ‘เหมาะสม’ ให้แต่อย่างใด
ถึงแม้อาจจะมีช่วงเวลาที่ต้องปวดเจ็บ เผชิญกับความรักที่ไม่สมหวัง แต่เราเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้และค้นพบได้จากความสัมพันธ์ในครั้งนี้ จะกลายเป็นรูปเป็น ‘ตัวตน’ ที่แข็งแกร่ง ไม่อ่อนไหว ไม่พังทลายได้ง่ายๆ เพียงเพราะ ‘กระแสสังคม’ ที่คอยขีดเส้นว่าพวกเขาควร ‘เป็นอย่างไร’ อีกต่อไป
สามารถรับชมตัวอย่างได้ทาง
ห้ามพลาด! ฟอรัมที่เจาะลึก New Normal ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย จากวิทยากรระดับประเทศ 40 คน ซื้อบัตรงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM ที่ https://www.eventpop.me/e/8705-economic-forum
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: