อย่างที่แฟนเพลงของ Bob Dylan รับรู้รับทราบ ชื่อหนัง A Complete Unknown ของ James Mangold หยิบยืมมาจากท่อนหนึ่งของซิงเกิล Like a Rolling Stone ที่วางจำหน่ายในปี 1965 ซึ่งในเชิงประวัติศาสตร์ เพลงเพลงนี้เป็นเหมือนจุดหักเหและพลิกผันบนเส้นทางดนตรีของ Bob Dylan อย่างมีนัยสำคัญ จะเรียกว่าเป็นการสิ้นสุดของช่วงชีวิตหนึ่ง และการเริ่มต้นของอีกช่วงชีวิตหนึ่งก็น่าจะได้ อีกทั้งคนทำหนังก็ใช้เพลงนี้เป็นเสมือนปมสำคัญของหนังทั้งเรื่อง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้อที่ควรระบุก่อนเพื่อนก็คือ A Complete Unknown เป็นชื่อหนังที่ตั้งได้ล้ำลึกจริงๆ
หรือพูดอย่างย่นย่อ สิ่งที่หนังของ James Mangold (Walk the Line, Logan, Ford v Ferrari, ฯลฯ) พยายามสำรวจและค้นหาวนเวียนอยู่กับคำถามที่ว่า Bob Dylan คือใคร ตัวตนแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะขณะที่ใครๆก็สามารถค้นหาข้อมูลเบื้องต้น ตลอดจนชีวประวัติของ Bob Dylan ในฐานะ นักร้อง/นักแต่งเพลง/กวี/ผู้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม จากเว็บไซต์อย่างวิกิพีเดียได้เหมือนๆ กัน แต่ตื้นลึกหนาบางของบุคลิกนี้ก็เป็นอย่างที่ชื่อหนังจั่วไว้ เขาเป็นใครก็ไม่รู้ จะเรียกว่ามืดแปดด้านก็น่าจะได้ กระทั่งกล่าวได้ว่าแม้แต่คนรอบข้างก็หยั่งไม่ถึงก้นบึ้งของตัวละคร (ฉากหนึ่งของหนังถึงให้เห็นว่าแฟนสาวของเขาซึ่งใช้เวลาด้วยกันมาสักพัก ถึงกับพูดออกมาตรงๆ ว่าเธอแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย) หรือว่ากันตามจริง ชื่อเรียกของเขาก็ยังไม่ตรงปกด้วยซ้ำ ในตอนเริ่มต้น ตัวละครนี้แนะนำตัวเองว่าชื่อ Bobby หรือ Bob Dylan (ซึ่งน่าสงสัยว่า มันอาจจะเป็นชื่อที่ถูกคิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ) แต่ในอีกราวครึ่งชั่วโมงต่อมา เราก็ได้รู้ชื่อจริงของเขาจากพัสดุที่บุรุษไปรษณีย์มาส่งว่าเขาชื่อ Robert Zimmerman
สมมติว่าจะหมายเหตุสักเล็กน้อย Bob Dylan ตัวจริงเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS ทำนองว่าเขาเปลี่ยนชื่อเรียกมาหลายชื่อ และโดยที่ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญ เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงใช้ชื่อ Bob Dylan เจ้าตัวบอกแบบกวนๆ ทำนองว่า ‘คนเราเรียกตัวเองอย่างที่อยากจะเรียก เพราะที่นี่คือดินแดนแห่งเสรีภาพ’ และ ‘เขาไม่เคยนึกถึงตัวเองในชื่อเดิม Robert Zimmanman มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว’
แต่ถ้าหากใครคาดหวังว่าหนังเรื่อง A Complete Unknown จะสามารถไขปริศนาตัวละครนี้ได้ทะลุปรุโปร่งก็อาจจะเป็นการร้องขอมากเกินไป เพราะหลังจากดูหนังจบ ใครลองเหลือบขึ้นไปมองชื่อหนังอีกครั้ง วลีเดียวกันนี้ก็อาจจะฟังเหมือนกับการยกธงขาวยอมแพ้ได้เหมือนกัน จนบางครั้งก็ชวนให้นึกสงสัยว่า เราไม่มีทางรู้จักตัวละครนี้อย่างลึกซึ้งถ่องแท้ หรือว่ามันไม่มีอะไรให้เราได้รู้จักตัวละครนี้นอกจากสิ่งที่เขาแสดงให้เห็นหรือประกอบสร้างเบื้องหน้าเท่านั้น
อีกทั้งวิธีการที่คนทำหนังเลือกจับจ้องตัวละครก็มีลักษณะก้ำกึ่ง คาบลูกคาบดอกและคลุมเครือ และดูเหมือนว่าระหว่างพวกเราคนดูกับตัวละคร ถูกคั่นไว้ด้วยระยะห่างหรือพื้นที่ที่มองไม่เห็น ที่แน่ๆ หนังไม่พยายามจะอธิบายตื้นลึกหนาบางของตัวละคร หรือชวนคนดูไปสอดส่องปมทางจิตในแบบที่หนังแนวศึกษาบุคลิกตัวละครชอบทำ ทั้งหมดทั้งมวลก็ยิ่งทำให้ดีกรีความน่าฉงนสนเท่ห์ของตัวละครเพิ่มขึ้นทบทวี
แต่ก็อีกนั่นแหละ ข้อมูลที่หนังไล่ลำดับให้คนดูได้ปะติดปะต่อเชื่อมโยงก็นับว่าหนักแน่นเพียงพอที่เราจะสรุปได้ว่า Dylan (Thimothée Chalamet ในบทบาทการแสดงที่น่าทึ่ง นั่นรวมถึงการร้องและเล่นกีตาร์ด้วยตัวเอง) เป็นคนจำพวกมองเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล เป็นนักฉวยโอกาส คนที่ยโสโอหังและที่แน่ๆ ปากหมา ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ Joan Baez (Monica Barbaro) นักร้อง/นักแต่งเพลงชื่อดัง และเป็นหนึ่งในคนรักของ Dylan จะเรียกเขาตรงๆ ว่า ‘asshole’ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยเบาะๆ ก็คงราวๆ ‘ไอ้คนสารเลว’ หรือหนักหน่อยก็ ‘ไอ้เหี้-’ นั่นเอง
ว่ากันตามจริง ความสัมพันธ์ระหว่าง Dylan กับ Baez จากที่หนังของ Mangold บอกเล่า ก็มีลักษณะผลประโยชน์ต่างตอบแทน เพราะฝ่ายแรกใช้ความโด่งดังของฝ่ายหลังเป็นใบเบิกทาง ขณะที่หญิงสาวก็ได้ร้องเพลงของ Dylan ที่แต่งได้หมดจดงดงาม หรือเราอาจจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองเป็นความสัมพันธ์แบบติดๆ ดับๆ ก็น่าจะได้ และถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว Baez อาจไม่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจากความงี่เง่าของเขาเท่าไหร่นัก ยกเว้นตอนที่เขาวิจารณ์งานเขียนของเธอว่าเป็นเหมือนภาพวาดสีน้ำมันที่แขวนโชว์ในร้านหมอฟัน
คนที่บอบช้ำกว่าเพื่อนก็คือ Sylvia (Elle Fanning) ผู้ซึ่งกล่าวได้ว่า เธอแทบจะไม่ได้รับประโยชน์โพดผลใดๆ จากความสัมพันธ์ เพราะระหว่างที่ Dylan คบเธอ เขาก็คบซ้อน Baez ไปด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่หญิงสาวระแคะระคายตั้งแต่ต้น ฉากที่บั่นทอนความรู้สึกของตัวละครอย่างรุนแรงก็คือตอนที่เจ้าตัวต้องเฝ้ามอง Dylan กับ Baez แสดงออกอย่างดูดดื่มหวานซึ้งบนเวที (จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงการแสดง และ Baez ก็ไม่น่าจะใช่ชนวนแตกหักเท่ากับนิสัยห่วยแตกของ Dylan) และนั่นกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย
แต่ก็นั่นแหละ วิธีการที่ Bob Dylan ตอบแทนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงสาวก็ด้วยการเขียนเพลงบอกเลิกที่โด่งดังและในเวลาต่อมา กลายเป็นเพลงยุติความสัมพันธ์ระดับคลาสสิกซึ่งถูกร้องในหนังแบบเต็มเพลงด้วย นั่นคือ Don’t Think Twice, It’s All Right และประโยคที่เจ้าตัวปรักปรำฝ่ายหญิงก็นับว่าเลือดเย็นทีเดียว แปลความหมายคร่าวๆ ได้ประมาณว่า ‘ผมเคยรักผู้หญิงคนหนึ่ง หรือจริงๆ แล้ว เธอเป็นเพียงเด็กสาวที่เอาแต่ใจ ผมมอบหัวใจให้ทั้งดวง แต่เธอกลับต้องการครอบครองจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น ก็สมควรบอกเลิก ไม่ต้องคิดมาก’
อีกคนหนึ่งที่เปรียบไปแล้วก็เหมือนถูก Bob Dylan งับมือทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนที่คอยหยิบยื่นอาหารให้ นั่นก็คือ Pete Seeger (Edward Norton) นักร้อง นักแต่งเพลง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และโต้โผใหญ่ในการจัดเทศกาลดนตรีโฟล์กที่เมือง New Port ซึ่งได้รับการตอบรับในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จะว่าไปแล้ว Seeger ก็เหมือนกับคนธรรมะธัมโมทางดนตรี เขาเชื่อว่าเพลงโฟล์กซองคือเครื่องมือประท้วงสงครามและความไม่ยุติธรรมในสังคมที่ทรงพลัง ด้วยเหตุนี้เอง Seeger จึงพยายามทัดทาน Dylan ในทันทีที่เขาระแคะระคายว่าฝ่ายหลังกำลังจะขึ้นไปเล่นดนตรีวันปิดเทศกาลด้วยแนวเพลงที่ผิดเพี้ยนไปจากอุดมการณ์ของความเป็น ‘เทศกาลดนตรีพื้นบ้าน’ ทั้งการเปลี่ยนจากกีตาร์โปร่งไปเป็นกีตาร์ไฟฟ้า เปลี่ยนจากเพลงโฟล์กเป็นเพลงร็อกแอนด์โรล
ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่หน้าประวัติศาสตร์บันทึกเหตุการณ์ที่แสนวุ่นวายเมื่อครั้งกระนั้นไว้นั่นเอง หรือคนที่อยากรู้ก็คงต้องไปค้นหาเอาเองในหนัง กระนั้นก็ตาม สิ่งที่อาจจะสรุปได้อย่างรวบรัดก็คือ คนเดียวที่ Bob Dylan ยอมอยู่ใต้อาณัติหรือเป็นข้ารับใช้ก็คือตัวเขาเอง
ประเด็นที่สมควรอภิปรายต่อเนื่องก็คือ อะไรที่นำพาให้ทั้งบรรดาผู้คนที่รายล้อม Bob Dylan ไปจนถึงพวกเราคนดู ต้องแคร์ตัวละครนี้ ผู้ซึ่งตามที่หนังของ Mangold นำเสนอ หาความน่ารักแทบไม่ได้ คำตอบก็ง่ายดายมาก เพราะเขาคือคนที่เขียนบทเพลงที่ไพเราะเพราะพริ้ง ถ้อยคำและท่วงทำนองของแต่ละบทเพลงก็ทั้งคมคายและสละสลวยราวบทกวี หรือจริงๆ แล้ว มันก็คือบทกวีนั่นเอง อาทิ เพลง Blowin’ in the Wind ที่กลายเป็นเพลงเอกของการต่อต้านสงครามที่ศิลปินนับไม่ถ้วนนำไปร้องใหม่ในสไตล์และแบบฉบับของแต่ละคน, เพลง A Hard Rain’s A Gonna Fall ก็เช่นเดียวกัน, Mr.Tambourine Man, Like a Rolling Stone, The Times They Are A-Changin, ‘Knockin’ on Heaven’s Door และอีกนับไม่ถ้วน ก็ล้วนเป็นผลงานที่ถ้าพูดเล่นๆ คงต้องบอกว่าศิลปินรุ่นหลังล้วนกราบไหว้บูชา
ข้อน่าครุ่นคิดก็อาจจะเป็นแง่มุมเดียวกับที่หนังหลายเรื่องก่อนหน้าเคยชักชวนคนดูตั้งข้อสงสัยมาแล้ว (อาทิ Tar ของ Todd Field หรือ Amadeus ของ Miloš Forman) นั่นก็คือ เราจะแยกแยะศิลปินนิสัยเลว จองหอง อหังการ พูดจาสุนัขไม่รับประทาน ออกจากการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของเขาที่สะท้อนถึงความละเมียดละไม อ่อนไหว อ่อนโยนได้อย่างไร ซึ่งสุดท้ายแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าคำตอบของคนดูน่าจะไม่เหมือนกัน และคงต้องวินิจฉัยเป็นกรณีๆ ไป เพราะถ้าหากพวกเราตั้งแง่ว่าคนสร้างงานศิลปะต้องเป็นคนน่าคบ มีนิสัยดิบดี จิตใจงดงามเท่านั้น คนดูหนังฟังเพลงอย่างเราๆ ท่านๆ ก็อาจจะไม่มีผลงานชั้นเลิศให้ดื่มด่ำกำซาบ และเหลือเพียงความเงียบให้นั่งฟัง จอภาพเปล่าๆ ให้จ้องมอง
รวมๆ แล้ว A Complete Unknown เป็นหนังแนว biopic ที่หลบเลี่ยงกับดักความซ้ำซากจำเจของหนังแนวนี้ได้แยบยล ที่แน่ๆ มันไม่ได้เป็นแค่หนังที่พูดถึงการก้าวไปสู่ความสำเร็จและการมีชื่อเสียงของ Bob Dylan ก่อนจะลงเอยด้วยราคาที่ต้องจ่ายหรือสิ่งที่เจ้าตัวต้องแลก เพราะก็ดังที่กล่าวก่อนหน้า Dylan แทบจะไม่ได้แคร์อะไรเลยนอกจากตัวเอง และถ้าหากจะสรุปแง่มุมที่หนังถ่ายทอดอย่างกะทัดรัด Bob Dylan ก็เหมือนกับ Bette Davis ในหนังขาวดำคลาสสิกเรื่อง Now, Voyager (1942) ที่ Dylan กับ Sylvia แฟนสาวชวนกันเข้าไปดูช่วงต้นเรื่อง ตัวนางเอกในหนังเรื่องนั้นทิ้งชีวิตเก่าของการเป็นสาวทึนทึกและสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ในแบบที่เธออยากจะเป็น (หรือจะเรียกว่า re-invent ก็น่าจะได้) กล่าวสำหรับ Dylan ตัวตนที่เขาประกอบสร้างขึ้นมา ก็สามารถถูกรื้อและประกอบสร้างเป็นอย่างอื่นได้ตลอดเวลา
พูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากใครคาดหวังว่าหนังเรื่อง A Complete Unknown จะสามารถเฉลยให้พวกเราได้รับรู้ตัวตนแท้จริงของ Bob Dylan ได้อย่างหมดเปลือก ก็อาจจะขอหยิบยืมวรรคทองจากหนังเรื่อง Now, Voyager มาปลอบโยนคนดู และนั่นคือ
“อย่าเพิ่งไปร้องขอดวงจันทร์ ในเมื่อเราอยู่ท่ามกลางหมู่ดวงดาว”
A Complete Unknown (2024)
กำกับ-JAMES MANGOLD
ผู้แสดง-Timothée Chalamet, Edward Norton, Elle Fanning, Monica Barbaro