ถึงจะถูกครหาว่าละครไทยวนเวียนแต่เรื่องผัวๆ เมียๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องชิงรักหักสวาทแบบผัวๆ เมียๆ นี่แหละที่สร้างกระแสและเรตติ้งแบบไม่ผิดหวัง ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของผู้จัดในยุคนี้คือ ‘ทำละครผัวเมียอย่างไรให้ไม่เชย’ อย่างเช่น หวานรักต้องห้าม ผลงานล่าสุดของผู้จัดแอน ที่แม้ชื่อจะดูเชยๆ แต่เนื้อหากลับสอดแทรกประเด็นสมัยใหม่เข้าไปและทำออกมาอย่างกลมกล่อมโดยไม่เสียอรรถรสละครแซ่บที่คนไทยชื่นชอบ

ความน่าสนใจของ หวานรักต้องห้าม คือการกลับมาแสดงละครในรอบ 6 ปีของ แมท-ภีรนีย์ คงไทย ประกบคู่พระเอกใหม่ ไมกี้-ปณิธาน บุตรแก้ว และยังได้ผู้กำกับคุณภาพอย่าง นุชี่-อนุชา บุญยวรรธนะ มาช่วยทำให้ Mood & Tone ของเรื่องแตกต่างจากละครช่อง 3 ที่เราคุ้นเคย โดยหยิบเอานวนิยายเรื่อง บัวปริ่มน้ำ มาเป็นแรงบันดาลใจ แล้วใส่ประเด็นและคาแรกเตอร์ใหม่ๆ ให้ตัวละคร ว่าด้วยเรื่องของลิน (แมท-ภีรนีย์ คงไทย) แม่ค้าออนไลน์ชื่อดังแห่งยุค ในอดีตเธอพลาดตั้งท้องตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น จึงยก ชาลี (ดีแลน ไบร์อัน) ลูกชาย ให้เป็นลูกบุญธรรมของ เลิศ (เจนนี่ ปาหนัน) พี่สาวข้ามเพศกับ ชาญ (เดี่ยว-สุริยนต์ อรุณวัฒนกูล) ผู้เป็นสามี

ความเจ็บปวดในอดีตทำให้ลินใช้ชีวิตแบบสาวโสดและมีความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัด จนกระทั่งได้มาเจอกับ รังสรรค์ (ดอม เหตระกูล) นักธุรกิจเจ้าของห้างเอสพลาซ่าที่คิดจะจริงจังกับลินทั้งที่เขามีเมียอยู่แล้วคือ มาดามเคท (มาช่า วัฒนพานิช) นักธุรกิจหญิงเก่งแห่งยุค

รังสรรค์พยายามหว่านล้อมเคทยอมให้ลินเป็นเมียน้อยแต่ไม่สำเร็จ เขาจึงหลอกลินว่าเคทยอมรับข้อตกลง เป็นจังหวะเดียวกับที่เคทนัดลินเพื่อคุยเรื่องธุรกิจ ทำให้ลินรู้ว่ารังสรรค์โกหกจึงขอตัดความสัมพันธ์ แต่ช้าไปแล้ว เมื่อเคทรู้ว่าลินแอบเล่นชู้กับสามีตัวเองจึงแก้แค้นอย่างแสบสัน ลินพยายามขอโทษแต่ไม่สำเร็จจึงเปิดฉากทำสงครามประสาทกับเคท

รังสรรค์และเคทมีลูกชายหนึ่งคนคือ คทา (ไมกี้-ปณิธาน บุตรแก้ว) นักศึกษาและนักกิจกรรมที่กำลังต่อต้านการสร้างห้างใหม่ของครอบครัวในชุมชนเก่าของมหาวิทยาลัย ลินจึงหว่านเสน่ห์ให้คทาหลงรักแล้วใช้เป็นเครื่องมือแก้เผ็ดเคท แต่เธอกลับหลงรักเด็กหนุ่มรุ่นน้องเสียเอง ด้วยความละอายใจ ลินบอกความจริงกับคทาว่ามีสัมพันธ์กับพ่อของเขา ซึ่งคทาก็รับได้ แต่คนที่รับไม่ได้คือรังสรรค์ เลยเอาเรื่องนี้ไปบอกเคทให้จัดการ เรื่องไม่จบแค่นั้น เมื่อชาลีลูกของลินได้เข้าไปเป็นนักฟุตบอลในสโมสรของเคท สงครามตัวแทนของผู้หญิงสองคนจึงเริ่มขึ้น ส่วนจะจบลงอย่างไรต้องไปติดตามใน หวานรักต้องห้าม

แค่ 4 อีพีแรกละครเรื่องนี้ก็สอดแทรกประเด็นสมัยใหม่และถัวเฉลี่ยความน่าสนใจให้กับตัวละครทุกตัวแบบไม่ยั้ง ทั้งประเด็นคุณแม่วัยใสผ่านตัวละครลินที่ทำให้เธอมีเสรีทางเพศจนเหลื่อมล้ำศีลธรรม แม้ภายนอกจะเป็นผู้หญิงแรงๆ กร้านโลก แต่ข้างในอ่อนไหว ซึ่งมักจะแสดงด้านนั้นให้กับคนที่ไว้ใจเท่านั้น ซึ่งก็คือพี่เลิศที่ถูกปรับเปลี่ยนจากบทประพันธ์เดิมให้เป็นผู้หญิงข้ามเพศ ฉายภาพครอบครัว LGBTQIA+ ที่สมบูรณ์ได้

ตัวละครลินยังสอดแทรกเรื่องการทำบุญเพื่อการตลาดที่กลายเป็นข้อขัดแย้งจนทำให้เธอได้พบกับคทา นักศึกษาผู้มีความฝันที่จะเห็นสังคมดีขึ้น หรือแม้แต่มุมมองต่อการคอร์รัปชันของคนรุ่นใหม่ผ่านตัวละครคทาและชาลีว่าเป็นสิ่งที่พวกเขารับไม่ได้ ซึ่งบางครั้งคนรุ่นใหม่กลับดึงสติคนรุ่นใหญ่ ในขณะที่คนรุ่นใหญ่ก็ใช้ประสบการณ์พูดถึงความแตกต่างในโลกความจริงและโลกอุดมคติ

สำหรับคาแรกเตอร์ของคทา ผู้สร้างปูพื้นฐานแบบไม่เสียเปล่าด้วยการหยิบเรื่องราวในสังคมปัจจุบันอย่างการไล่ที่ชุมชนเก่าของมหาวิทยาลัย และอุดมการณ์บางอย่างที่แม้จะขัดแย้งกับครอบครัวก็ขอแยกเรื่องส่วนตัวกับความถูกต้องออกจากกัน ขณะที่ตัวละครมาดามเคทก็ออกแบบมาได้อย่างน่าสนใจในมาดของนักธุรกิจหญิงผู้กุมบังเหียนธุรกิจขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จด้านการงาน แต่ครอบครัวกลับพังไม่เป็นท่า เธอเหมือนจะยอมรับได้ว่าสามีมีคนอื่น แต่การดูแลตัวเองเข้าขั้นเสพติด ทั้งการดริปวิตามินตอนประชุม หรือขวดอาหารเสริมเรียงรายเต็มห้องนอน ก็บอกได้ว่าลึกๆ แล้วอยากเอาชนะความชราให้สามีกลับมาสนใจตัวเองอีกครั้ง

“พี่ขอโทษด้วยนะคะ พี่อาจจะ Slut Shaming ไปนิดหนึ่งค่ะ คือเราก็ไม่ควรจะว่าผู้หญิงด้วยกัน พี่เองอาจจะดูเหมือนเป็นผู้หญิงก้าวหน้า เป็นคนสมัยใหม่ แต่สำหรับเรื่องครอบครัว พี่เซนซิทีฟมากนะคะ” บทสนทนาของเคทกับลินในตอนที่เธอยังไม่รู้ว่ากำลังคุยกับเมียน้อยของสามีอยู่ ทำให้ลินตัดสินใจจบความสัมพันธ์กับรังสรรค์ทันที แต่ฝ่ายชายไม่จบอยู่แค่นั้น

“ถึงแม้เราจะเคยได้กันมาเป็นร้อยครั้ง แต่ถ้าครั้งนี้ฉันบอกว่าไม่ ก็คือไม่ จำเอาไว้เลยนะ เวลาพี่ผู้หญิงเขาพูดว่าไม่เนี่ย เขาหมายความแบบนั้นจริงๆ อย่ามโนไปเองว่าเขาปากไม่ตรงกับใจ” ประโยคที่ลินบอกกับรังสรรค์สอดแทรกประเด็นสิทธิในร่างกายและการยินยอมพร้อมใจ (Consent) แม้จะเคยได้เสียกันก็ไม่มีสิทธิ์จะทำซ้ำหากอีกฝ่ายปฏิเสธ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้จำกัดแค่ที่ฝ่ายหญิง แต่ฝ่ายชายก็มีสิทธิ์ปฏิเสธด้วยเช่นกัน

“ผมยังไม่ได้อนุญาตพี่เลย พี่ก็รู้เรื่อง Consent นี่ พี่ยังไม่ได้ถามผมเลย” คทาบอกกับลินเมื่อลินโผเข้าจูบตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัว

นอกจาก หวานรักต้องห้าม จะพูดถึงประเด็นต่างๆ ที่เล่ามาแล้ว ยังหยิบเรื่องการคุยเรื่องเพศในครอบครัวแบบตรงไปตรงมาอย่างในฉากที่ลินถามชาลีตรงๆ ว่าเคยมีเซ็กซ์แล้วหรือยัง และป้องกันหรือเปล่า และภาวะชายเป็นพิษ (Toxic Masculinity) ผ่านตัวละครรังสรรค์ ทั้งพฤติกรรมและคำพูดสะท้อนความเห็นแก่ตัวไม่สิ้นสุด ซึ่งประเด็นทั้งหมดบรรจุอยู่ในละครที่ออกอากาศเพียงแค่ 4 ตอนโดยที่คนดูไม่ได้รู้สึกถูกยัดเยียดเลย ต้องชื่นชมทีมเขียนบท ทั้ง สร้างสรรค์ สันติมณีรัตน์, อนุชา บุญยวรรธนะ, อำไพพร จิตต์ไม่งง, ฤทธิไกร กาญจนวิภู และ เสธนันท์ จริยวิลาศกุล ที่สามารถปรุงบทประพันธ์เก่าให้ออกมาดูใหม่ ใช้ภาษาและบทสนทนาเหมือนที่มนุษย์ยุคนี้ใช้สื่อสารกันจริงๆ

ส่วนด้านการแสดงก็เรียกว่าบทของลินในเรื่องนี้เป็นการคัมแบ็กที่เหมาะสมของ แมท ภีรนีย์ หลังจากผจญวิบากกรรมถูกสาปมาอย่างยาวนาน เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เธอเคยเจอมา ส่วนไมกี้ก็พัฒนาขั้นสุดจนคนดูต้องหลงเสน่ห์ความเป็นคทาในตัวเขา สรุปแล้ว หวานรักต้องห้าม คือละครดีที่อยากเชียร์ดังๆ ว่านี่แหละคือละครแซ่บที่เราอยากดู

หวานรักต้องห้าม ออกอากาศทุกวันจันทร์-อังคาร ทางช่อง 3 และชมย้อนหลังได้ที่ Viu