วันนี้ (16 ตุลาคม) ที่อาคารรัฐสภา พรรคประชาชาติ นำโดย กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส. นราธิวาส พรรคประชาชาติ ร่วมกันแถลงข่าวแสดงจุดยืนต่อกรณีคดีตากใบ ในฐานะที่พรรคประชาชาติมีจำนวน สส. ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากที่สุด จึงเข้าใจความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่
ต่วนอิสกันดาร์ ดาโต๊ะมูลียอ โฆษกพรรคประชาชาติ กล่าวว่า หัวใจของพรรคประชาชาติมีความหนักแน่นในการเรียกร้องความยุติธรรม ห่วงใยประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้สูญเสียที่ประสบเหตุเสียชีวิต 85 ราย ทุพพลภาพ 51 ราย ตลอดจนผู้ถูกควบคุมตัวกว่า 1,280 ราย พรรคประชาชาติเน้นย้ำว่า ความห่วงใยที่ประชาชนมีให้พรรค กลายเป็นกำลังในการขับเคลื่อน ทั้งการเมือง รัฐสภา และการใช้อำนาจในการบริหารเรียกร้องความยุติธรรม ด้วยศักยภาพและความสามารถอย่างถึงที่สุด
“พรรคประชาชาติขอเรียกร้องให้จำเลยทั้ง 7 คนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อทำให้ความจริงปรากฏ จรรโลงความยุติธรรมที่สังคมเพียรหา ลุล่วงไปได้ด้วยดี” โฆษกพรรคประชาชาติกล่าว
คดีตากใบยังไม่ถึงจุดจบ
ขณะที่กมลศักดิ์กล่าวว่า เป็นความห่วงใยของพรรคประชาชาติกับสถานการณ์คดีตากใบที่เหลืออีก 9 วันก่อนจะหมดอายุความ พรรคไม่ได้ละเลยหรือทอดทิ้งเรื่องนี้ เราติดตามกับกระบวนการยุติธรรมและกระบวนการพิจารณาคดีมาโดยตลอด แม้เราจะอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล
กมลศักดิ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา ศาลจังหวัดนราธิวาสมีนัดสอบคำให้การจำเลย แต่ไม่มีจำเลยสักคนเดินทางไปศาล ซึ่งศาลยังไม่จำหน่ายคดีออกจากระบบ โดยนัดสอบคำให้การอีกครั้งในวันที่ 28 ตุลาคม แม้คดีจะหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ จากการติดตามรายงานการพิจารณาคดีศาลจังหวัดนราธิวาส สะท้อนว่ามีความห่วงใยเรื่องนี้ จึงได้นัดสอบคำให้การอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในรายงานดังกล่าวระบุว่า มีหนังสือสอบถามความคืบหน้าของการปฏิบัติหน้าที่ตามหมายจับไปยังหน่วยงานที่ศาลมีคำสั่งให้ปฏิบัติตามหมายจับ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าศาลอยากให้กระบวนการยุติธรรมเดินต่อ
“พรรคประชาชาติจึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแถลงความคืบหน้าการจับกุมจำเลย หลังคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้เรียกไปสอบตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อให้สังคมได้รับรู้ ขออย่านำประเด็นที่ใกล้ขาดอายุความมาโยนความผิดให้พี่น้องประชาชนที่เรียกร้องความยุติธรรม” กมลศักดิ์กล่าว
กมลศักดิ์ระบุด้วยว่า บางคนแถลงในลักษณะว่าคดีตากใบได้รับการเยียวยาไปแล้วในสมัยที่ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในขณะนั้น คดีน่าจะจบไปแล้ว แต่การเยียวยาในครั้งนั้นไม่ได้ทำให้คดีอาญาระงับ การจ่ายเงินเยียวยาเป็นการจ่ายเงินตามมาตรา 9 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553
บางคนพยายามสื่อว่าคดีนี้จบไปแล้ว ทั้งที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 วรรคสี่ เมื่อมีการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมของเจ้าหน้าที่จะต้องมีการไต่สวนว่าผู้ตายเป็นใคร ใครทำให้ตาย และตายด้วยสาเหตุอะไร เมื่อไต่สวนเสร็จแล้วพนักงานอัยการต้องนำคำสั่งศาลส่งให้พนักงานสอบสวน เพื่อหาว่าใครเป็นผู้ทำให้ตาย
“คดีนี้ยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาว่าใครทำให้ตาย คดีอาญาจึงยังไม่ระงับ ระยะเวลาที่เหลืออีก 9 วัน พรรคประชาชาติจึงมีความห่วงใย อยากให้กระบวนการยุติธรรมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำตัวจำเลยมารับผิด จำเลยหรือผู้ต้องหายังสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ ขอให้ท่านเดินหน้าพยุงความยุติธรรมในสามจังหวัดชายแดนใต้ อย่าก่อให้เกิดเงื่อนไขใหม่ในพื้นที่ เพราะเราเป็นห่วงสถานการณ์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” กมลศักดิ์ระบุ
กมลศักดิ์เผยว่า ได้พูดคุยกับรัฐบาลในการติดตามจำเลย พ.ต.อ. ทวี ประสานให้จับกุม แต่เป็นการทวงถามฝ่ายเดียวในฐานะผู้ปฏิบัติ พี่น้องทั้งประเทศ สังคม และคนในพื้นที่ อยากฟังความคืบหน้าด้วย ขณะที่การลาออกของ พล.อ. พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีต สส. พรรคเพื่อไทย ขอให้เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยต้องชี้แจง เราไม่อยากไปก้าวก่าย
แม้พิศาลลาออก แต่ความเป็นจำเลยยังอยู่
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยพยายามจะทำให้ พล.อ. พิศาล ไม่มีความเกี่ยวข้องนั้น ก็ต้องไปถามพรรคเพื่อไทย ยังมีประเด็นที่สังคมตั้งคำถาม จะต้องชี้แจงให้กับสังคมให้เข้าใจว่าหนังสือลาออกมาอย่างไร พร้อมยืนยันว่าส่วนตัวไม่เคยได้เจอ พล.อ. พิศาล ในที่ประชุมสภา เนื่องจากอยู่คนละคณะกรรมาธิการ มีแค่เพียงเดินผ่านกัน ก่อนกล่าวว่า “เขาอาจจะไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ”
กมลศักดิ์ยืนยันว่า แม้ พล.อ. พิศาล จะลาออก พ้นสถานะการเป็น สส. แต่สถานะจำเลยยังอยู่ แต่ถ้าขาดอายุความเรื่องก็จบ พรรคประชาชาติประสานงานกับพรรคเพื่อไทยอยู่แล้วว่าอยากให้มีการจับกุม
“ในคณะกรรมาธิการก็บี้เหมือนกัน คณะกรรมาธิการและรัฐมนตรีได้กำชับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติงานและเจ้าตัวเอง” กมลศักดิ์ทิ้งท้าย
