×

ก.ล.ต. เตือน ความเสี่ยงและข้อพึงระวัง ‘ธุรกรรมหุ้นหลักประกัน’ ของบริหาร-ผู้ถือหุ้นใหญ่ พร้อมเล็งออกเกณฑ์สั่งเปิดข้อมูล

25.09.2024
  • LOADING...

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยฝ่ายนโยบายระดมทุน เผยแพร่บทความหัวข้อ รู้จัก ‘ธุรกรรมหุ้นหลักประกัน’ ความเสี่ยงและข้อพึงระวัง ระบุว่า ช่วงที่ผ่านมาหลายท่านน่าจะเห็นข่าวการทำ ‘ธุรกรรมหุ้นหลักประกัน’ ของกรรมการ ผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ของบริษัทจดทะเบียน 

 

โดยนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันแล้วถูกบังคับขาย (Forced Sell) หรือกรณีที่นำหุ้นไปฝากไว้กับผู้รับฝากหลักทรัพย์ (Custodian) ในต่างประเทศ แล้วเกิดกรณีไม่คาดคิดว่าหุ้นที่ได้นำไปฝากไว้นั้นถูกโอนหรือถูกขายออกไป อันเป็นผลจากการทำสัญญาให้สิทธิในการตัดสินใจขายแก่คู่สัญญา ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนกระทบต่อภาพลักษณ์และราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน 

 

ดังนั้นผู้ลงทุนจึงควรระมัดระวังการลงทุนในกรณีที่พบว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนมีการนำหุ้นไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็นบัญชีมาร์จิ้นหรือวางกับ Custodian ในต่างประเทศ เนื่องจากธุรกรรมดังกล่าวอาจมี ‘ความเสี่ยง’

 

รู้จัก ‘ธุรกรรมหุ้นหลักประกัน’

 

เพื่อให้ทุกท่านเห็นภาพของ ‘ธุรกรรมหุ้นหลักประกัน’ จึงขออธิบายถึงลักษณะของการทำธุรกรรมดังกล่าวสักเล็กน้อย

 

ธุรกรรมหุ้นหลักประกัน คือ การทำสัญญากู้ยืมเงินโดยการนำหุ้นของผู้กู้ไปวางเป็นหลักประกัน ซึ่งนอกจากจะเป็นการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันกับบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อเปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้นด้วยวงเงินที่สูงขึ้นที่รู้จักคุ้นหูว่า ‘บัญชีมาร์จิ้น’ แล้ว ยังรวมถึงการทำสัญญากู้ยืมเงิน โดยนำหุ้นไปจำนำเป็นหลักประกันสินเชื่อด้วย

 

ปัจจุบันการใช้หุ้นเป็นหลักประกันการชำระหนี้ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ

 

  1. การนำหุ้นในรูปแบบใบหลักทรัพย์ (Scrip) ไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือ การทำสัญญาระหว่างผู้กู้ยืมและผู้ให้กู้ โดยผู้กู้ยืมจะส่งมอบหุ้นในรูปแบบ ‘ใบหลักทรัพย์’ ให้เจ้าหนี้ เพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ และต้องมีการจดแจ้งการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันกับ ‘นายทะเบียน’

 

  1. การนำหุ้นในรูปแบบไร้ใบหลักทรัพย์ (Scripless) ที่ฝากไว้กับบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์) ไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้คือ การนำหุ้นที่จดทะเบียนหรือหุ้นที่ฝากไว้กับ TSD ไปเป็นหลักประกันการชำระหนี้ โดยต้องมีการบันทึกการใช้หลักทรัพย์เป็นประกันกับบริษัทหลักทรัพย์ หรือ TSD การนำหุ้นไปเป็นหลักประกันทั้ง 2 รูปแบบนี้จะไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นให้แก่เจ้าหนี้ในทันทีที่มีการทำสัญญากู้ยืม โดยเจ้าหนี้จะสามารถนำหุ้นไปขายทอดตลาดได้ก็ต่อเมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้ และเจ้าหนี้ได้ดำเนินการต่างๆ ตามกระบวนการบังคับหลักประกันแล้ว 

 

นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ใช้ใบหลักทรัพย์ (Scrip) หรือแบบไร้ใบหลักทรัพย์ (Scripless) เป็นหลักประกัน ก.ล.ต. ขอย้ำให้มีการจดแจ้งหรือบันทึกการจำนำหรือการวางเป็นหลักประกันกับ TSD ด้วย เพื่อป้องกันการโอนเปลี่ยนมือโดยมิชอบ

 

อย่างไรก็ดีในช่วงที่ผ่านมากล่าวได้ว่า การนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันการกู้ยืมนั้นมีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น โดยไม่ได้มีเพียงการทำสัญญากู้เงินเท่านั้น ยังอาจทำสัญญาตกลงโอนหลักประกันเพื่อนำหุ้นไปฝากไว้กับ Custodian ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นบุคคลที่สาม ให้เป็นผู้เก็บรักษาหลักประกันไว้แทนผู้ให้กู้ เพื่อประโยชน์ในการบังคับหลักประกันเมื่อมีการผิดเงื่อนไขสัญญากู้เงินได้อีกด้วย 

 

นอกจากนี้หุ้นที่วางไว้เป็นหลักประกัน หากเป็นหุ้นของบริษัทจดทะเบียนอาจมีความเสี่ยงในหลายมิติ ที่ผู้วางหลักประกันต้องพึงระวังเพื่อไม่ให้เกิดกรณีที่ไม่คาดคิด จนทำให้ผู้วางประกันได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบไปถึงผู้ลงทุนให้ได้รับความเสียหายด้วย

 

ความเสี่ยงจากการถูกบังคับขาย

 

การใช้บัญชีมาร์จิ้นมีข้อควรระวังคือ วงเงินกู้ยืมอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามราคาหุ้นที่นำไปวางเป็นหลักประกัน และหากราคาหุ้นที่นำไปวางเป็นหลักประกันไว้ลดลงมากๆ จนต่ำกว่าระดับที่เกณฑ์กำหนด อาจถูกบังคับขายหุ้นที่นำไปวางไว้เป็นหลักประกันตามสัญญาได้ นอกจากนี้ที่ผ่านมายังพบว่า การทำสัญญากู้ยืมเงินโดยนำหุ้นไปจำนำเป็นหลักประกันสินเชื่อ มีความเสี่ยงที่จะถูกบังคับขายหุ้นที่เป็นหลักประกันได้เช่นกัน

 

สำหรับผู้ลงทุนเองจึงควรใช้ความระมัดระวังในการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการนำไปเป็นประกันในสัดส่วนที่สูง เพราะในกรณีที่มีแรงเทขายจากการถูกบังคับขายออกมาเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลให้ราคาหุ้นนั้นปรับตัวลดลงได้ (ผู้สนใจสามารถดูข้อมูล สรุปรายงานหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น ได้ที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

 

ความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือ

 

นอกจากความเสี่ยงข้างต้นแล้ว ผู้ที่นำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินควรพิจารณาความเสี่ยงในด้านความน่าเชื่อถือของผู้ให้กู้ รวมถึงตัวแทนของบุคคลเหล่านี้ด้วย เช่น ตรวจสอบการมีตัวตนและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ให้กู้เป็นบริษัทหรือกองทุนจะต้องมีการนำหุ้นไปฝากไว้กับบุคคลที่สาม หรือ Custodian จึงต้องพิจารณาว่า Custodian นั้นเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือไม่

 

ในกรณีที่มีการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันหรือฝากไว้กับ Custodian ในต่างประเทศ แล้วเกิดกรณีไม่คาดคิด อาจติดตามได้ยากและต้องดำเนินการต่างๆ ตามกฎหมายของแต่ละประเทศ รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริษัทจดทะเบียนและทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงได้

 

ดังนั้นการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ผู้ที่เป็นเจ้าของหุ้นไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจดทะเบียนนั้น ควรพิจารณาถึงปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ ให้รอบคอบ โดยครอบคลุมถึงการมีตัวตนของผู้ให้กู้ / คู่สัญญา และตัวแทนของกลุ่มบุคคลดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีการถูกบังคับขายหรือหุ้นที่นำไปฝากไว้สูญหาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดผลเสียต่อตนเอง ต่อบริษัท ตลอดจนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยโดยรวม ในขณะที่ผู้ลงทุนควรติดตามข้อมูลข่าวสารของบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับ ‘ธุรกรรมหุ้นหลักประกัน’ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนด้วยเช่นกัน

 

ในปัจจุบัน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลการนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกันเพิ่มเติมจากข้อมูลธุรกรรมสำคัญของบริษัทจดทะเบียนและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องต้องรายงาน เช่น การรายงานในแบบ 56-1 One Report การเปลี่ยนแปลงการถือครองหลักทรัพย์ (แบบ 59) และการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 246-2) ที่เปิดเผยบนหน้าเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่มีนัยสำคัญ และอาจมีผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X